ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 529

"ทำไม ชิงยีเป็นห่วงพวกเขา?"

ชิงยีได้ยินอย่างนั้นก็ส่ายหน้าบอก "ข้าน้อยเพียงแค่รู้สึกว่า องค์หญิงน้อยไม่อาจตายที่นั่นกระมัง? ส่วนไท่จื่อตระกูลเฉิน ข้าน้อยแทบอยากเข้าไปถลกหนังเขาล้างแค้นให้หลานยีเลยต่างหาก" พูดถึงหลานยี สีหน้าชิงยีหม่นหมองลงฉับพลัน

เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดเสียงเรียบ "งั้นเจ้าไม่ต้องคิดละ อาศัยแค่เจ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก และพวกเขายังจะมีชีวิตทะลุผ่านหุบเขาติดตรึงไปได้ด้วย"

ชิงยีพยักหน้ารับคำ

พวกเขาควบม้าทะยาน พลันได้ยินเสียงร้องของนกประหลาดดังมาจากท้องฟ้า เฮ่อเหลียนเจี๋ยเงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าเคร่งเครียดลงมา ยื่นมือออกไป นกใหญ่ที่มีจะงอยปากตัวหนึ่งจากท้องฟ้าก็กรีดร้องพลางพุ่งลงมา กางปีกลงมาบนไหล่เขาทันที

"นกเขียว? นกเขียวยังส่งมา นายท่าน ทางนั้นต้องมีการเคลื่อนไหวแน่" ชิงยีร้อนใจมาก

ปากของนกตัวนั้นยาวมาก ส่วนหน้าคุ้มลงปิดส่วนหลังไว้ มีแต่ขนนกสีเขียวปกคลุมทั่วร่าง บนตัวมันยังผูกมัดกระดาษน้ำมันหนึ่งแผ่น เฮ่อเหลียนเจี๋ยดึงออกมา พอเปิดออกดู ก็ยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาขึ้นมา

"ดูท่า เสด็จพี่ของข้าจะฝึกยุทธ์สำเร็จแล้ว!"

"อะไรนะ? ไท่จื่อฝึกยุทธ์สำเร็จ? นายท่าน วิทยายุทธ์ชั่วร้ายเยี่ยงนั้นเขายังฝึกสำเร็จได้..." ชิงยีแทบสำลัก "งั้นพระนางไท่เฟยเล่า จะเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?"

เฮ่อเหลียนเจี๋ยกำจดหมายแน่น ไม่นาน พอคลายมือกระดาษแผ่นนั้นก็กลายเป็นเศษผุยผง ลอยละลิ่วดุจหิมะก่อนตกลงบนม้า

"เสด็จแม่ตกอยู่ในเงื้อมมือเขาแล้ว เฮ่อเหลียนหมิงต้องการให้ข้าเอาตัวองค์หญิงน้อยกลับไปให้เขา และยังมี...ย่าส์!"

คำพูดต่อมา เพราะจู่ๆเขาก็ควบม้าทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว และยังพูดเบาเกินไป เลยโดนลมพัดกระจายหมด ชิงยีเลยไม่ได้ยิน แต่เขาพอเดาได้ สีหน้าเคร่งขรึมลง สองขาหนีบท้องม้า "ย่าส์!"

ม้าสองตัวพุ่งทะยานออกไปดุจสายฟ้าแลบ และด้านหลังพวกเขา พระอาทิตย์ค่อยๆตกลงทางทิศตะวันตก ลมยิ่งพัดแรงขึ้นแล้ว

.....

ตอนโหลชีพึ่งเห็นนักพรตเลวก็รู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาอาศัยจังหวะห้วงเวลาเกิดช่องโหว่จับนางกลับไปเขาก็ไม่ได้เล่นมุกเข้าฝันมานานมากแล้ว ตอนนี้มันเรื่องอะไรกันอีกเนี่ย?

ไม่รู้เป็นเพราะครั้งก่อนเขาจับนางกลับไปก็ต้องเสียกำลังมากขนาดนั้นหรือเปล่า การเข้าฝันครั้งนี้กลับยิ่งดูไม่น่าเชื่อถือกว่าเมื่อก่อนอีก นางคลับคล้ายคลับคลาเห็นแค่รูปร่างเขา ก็คงใบหน้านั้นล่ะ อย่างอื่นรอบข้างล้วนมัวๆดูไม่ชัดเจน ทำให้นางนึกถึงหน้ากากสาวงามเมื่อครู่

"ฉันว่านะ นักพรตเลว นายคงไม่คิดจะบอกฉันว่านายลืมไปแล้วว่ามีเรื่องอะไรสำคัญที่ยังไม่ได้บอกฉันใช่ไหม?" ไม่อย่างนั้น ครั้งก่อนเขาบอกแล้วนี่ว่า เขาเล่าเรื่องทุกอย่างที่รู้และจำได้ให้กับนางหมดแล้วนี่

ใบหน้านั้นของนักพรตเลวขมวดคิ้วมุ่นขึ้นมา เสียงก็ขาดๆหายๆ "เสี่ยวชีเอ้ย...เจ้าไปหา...ที่สำนักอาจารย์...ต้อง...รู้ไหม?"

"อะไรนะ? พูดชัดๆหน่อย ไม่ได้ยิน" โหลชีขมวดคิ้ว

"ก็คือ...ไง"

ตอนนี้ยิ่งไม่ชัดเจนใหญ่ เขาเหมือนพูดประโยคยาวมาก แต่นางกลับได้ยินแค่สามคำสุดท้าย หนึ่งในนั้นยังมีไง

มันเท่ากับไม่มีประโยชน์เลยไม่ใช่หรือไง

"นักพรตเลว ไม่ได้ยิน ค่อยๆพูดทีละคำ"

"ข้า สำนัก...เฮ้อ แม่งเอ๊ย..."

"ชีชี?"

โหลชีลืมตาขึ้น สบเข้ากับสายตาเป็นห่วงของเฉินซ่า เขาเห็นนางฟื้นขึ้น ถามเสียงต่ำว่า "ฝันรึ?"

นี่มันช่าง...

โหลชีรู้สึกพูดไม่ออก สุดท้ายก็ไม่รู้ว่านักพรตเลวเป็นอะไร เหมือนวิทยายุทธ์ไม่พอให้คุยกับนางแล้ว แต่สุดท้ายจะพูดคำที่มีประโยชน์หน่อยไม่ได้หรือไง?

เฮ้อ แม่งเอ๊ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย

"ข้าเป็นห่วงว่านักพรตเลวจะเกิดเรื่องน่ะ"

"เจ้าบอกว่าเขาอยู่ที่นั่นน่าจะไม่มีคนเป็นคู่ต่อสู้เขาได้ไม่ใช่รึ? ขอแค่ไม่หาเรื่องจนฝ่ายทหารส่งอาวุธเทคโนโลยีชั้นสูงพวกนั้นออกมาก็พอแล้ว?" น้ำเสียงตอนเฉินซ่าพูดถึงอาวุธเทคโนโลยีชั้นสูง จงใจพูดช้าลงหน่อย เพราะเขาคิดไม่เข้าใจจริงๆว่าอะไรคือ "อาวุธเทคโนโลยีชั้นสูง" ตอนนั้นที่โหลชีบอกเขา เขายังเคยถามว่าเป็นของอย่างเช่นระเบิดที่นางทำแบบนั้นไหม นางกลับบอกว่าร้ายกาจยิ่งกว่านั้นร้อยเท่า เรียกว่าไม่เพียงแค่นั้นด้วย

มันเป็นอะไรที่เขาไม่มีทางคาดคิดได้เลย

โหลชีส่ายหัวบอก "เขาเสียวิทยายุทธ์ไปมากเกินไป ที่นั่นไม่มียาอะไรให้กินได้ และไมรู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง"

ถ้าครั้งก่อนนางทำยาแข็งจิตได้ก็ดีสิ ให้เขาสักสองเม็ด ไม่แน่เขาอาจจะกลับมาเองได้แล้ว

แต่โลกนี้ไม่มีคำว่าถ้ารู้ก่อนมากนัก

ในสถานการณ์ปกติเขาควรจะไม่มีอันตรายอะไร เมื่อกี้เขาทำท่าทีเหมือนจะพูดอะไรกับนางสักอย่าง ไม่ใช่เขาเกิดเรื่องเอง แต่นางฟังไม่ชัดเลยว่าเขาพูดอะไรกันแน่ เลยได้แต่โยนเรื่องนี้ทิ้งออกนอกสมองไป

พอดึงสติกลับมา นางกลับพบว่าพวกเขายืนอยู่ในทุ่งโล่งเปิดกว้าง อดตะลึงไม่ได้ "นี่คือออกมาแล้ว?"

ไม่เพียงแค่ตัวอยู่ในทุ่งโล่งเปิดกว้าง นางยังนอนอยู่บนหญ้าที่ทั้งแห้งและนุ่ม ด้านข้างก่อกองไฟเอาไว้ คนอื่นล้วนนั่งล้อมวงรอบกองไฟ เฉิงสิบโหลวซิ่นกับเทียนยีตี้เอ้อร์กำลังย่างเนื้อ

กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นลอยเข้าจมูกนาง เรียกพยาธิในท้องนางให้ตื่นขึ้น โหลชีลุกขึ้นนั่งทันที

"ฮองเฮา พวกเราออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้เห็น พวกเราเข้าไปในค่ายกลใหญ่ที่น่ากลัวมากอันหนึ่ง เป็นค่ายกลใหญ่ที่ใช้กระทั่งเวทมนตร์และกลไกบวกกับค่ายกล แต่ฝ่าบาทใช้กระบี่มารล้างผลาญพาพวกเราออกมาทั้งหมด" โหลวซิ่นพูดและมองนางอย่างดีใจ "แต่ฮองเฮาท่านช่างเก่งกาจยิ่ง พวกเราฆ่าฟันจนมืดค่ำ ท่านกลับหลับสบายได้เยี่ยงนั้น"

เทียนยีตี้เอ้อร์มองเนื้อย่าง

โหลวซิ่นพยักหน้าอย่างแรง

เฉิงสิบพูดอย่างมั่นใจว่า "ฮองเฮาแยกแยะบุญคุณความแค้นอย่างสิ้นเชิง เป็นแบบอย่างของข้าน้อย!"

โหลชีกุมขมับ

นางเก็บเข็ม กินของกิน เฉินซ่าหลับข้างกายนางจริงๆด้วย ไม่นานก็หลับสนิท มีนางอยู่ข้างๆเขาวางใจได้

บนตัวคนอื่นมีบาดแผลอยู่บ้าง พอใส่ยาแล้วก็โดนโหลชีสั่งให้ไปพักผ่อน เพราะนางหลับมาตลอดทาง อย่างน้อยคงซักหนึ่งชั่วยามครึ่ง ตอนนี้ไม่ง่วงเลยจริงๆ

พอได้ยินเสียงหายใจทุ้มลึกแล้ว โหลชีก็ยืนขึ้น หันไปมองทางหุบเขาติดตรึง มีหลายคำถามที่นางยังคิดไม่เข้าใจ ลำธารเล็กนั่นกลายเป็นน้ำแข็งได้ยังไงกัน? อีกอย่าง ของทั่วทั้งลำธารเล็กถ้าจัดเตรียมไว้เพื่อคนคนเดียวจริง เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วจะเป็นใครกันแน่ล่ะ? อันที่จริงนางก็คาดเดาคร่าวๆ แต่หลักฐานมีน้อยเกินไป นางมักรู้สึกว่า หญิงขนขาวน่าจะเป็นคนสำคัญที่รู้ความจริง และยังไม่ใช่คนเบื้องหลังที่จัดวางพวกนี้ นางน่าจะโดนหลอกใช้

น่าเสียดายที่จับนางไม่ได้ ตอนนั้นที่อยู่ในถ้ำก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้ ไม่อย่างนั้นก็สามารถให้เฉินซ่าแค่กำราบนาง และใช้วิธีสะกดจิตถามดู

ที่น่าเสียดายที่สุดคือ ป่าสนแดงกลับเป็นแค่ภาพลวงตา เสียดายที่นางยังคิดว่าจะสามารถได้กระสายยาสองตัวสุดท้ายที่นั่นเสียอีก

ดูท่าต้องรีบเร่งเดินทางไปให้ถึงตระกูลโหลแล้ว

ที่เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่ผิดเลย นี่เป็นทางลัดที่เร็วที่สุดเส้นหนึ่ง และหลังออกจากหุบเขาติดตรึงแทบจะไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นอันตรายสำหรับพวกเขาได้เลย อาจจะมีหนอนหรือพิษบางอย่าง มีโหลชีอยู่ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ความเร็วต่อมาของพวกเขาเร็วมาก ใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็เข้าเขตทะเลทรายเย็น

และพอมาถึงที่นี่ ขบวนใหญ่ก็ยังไม่ถึง

พวกเขาเจอปัญหาใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง ก็คือความหนาวเย็น

ทะเลทรายเย็นไม่ใช่ทะเลทราย เป็นทุ่งโล่งขนาดใหญ่ แต่อุณหภูมิต่ำมาก ตามที่ซวนหยวนฉงโจวพูด ดินแดนนี้กลางคืนจนถึงรุ่งสางแทบจะมีน้ำค้างแข็ง กลางวันถ้ามีดวงตะวันยังดีหน่อย ถ้าไม่มีดวงตะวัน หนาวแทบตายได้เหมือนกัน

ดังนั้นพวกเขาถึงได้ลากรถม้ามากมายขนาดนั้น ในรถม้าเตรียมเตาถ่านผ้าห่มหนาไว้แล้ว และยังมีผ้าห่มก็อยู่บนรถม้าแล้วเหมือนกัน

พอถึงที่นี่มันคือที่รกร้างว่างเปล่า มองไปสี่ทิศล้วนว่างเปล่าหมด

พวกเขาต้องรอขบวนใหญ่ที่นี่ นั่นต้องผ่านความหนาวเหน็บที่เสียดกระดูกยามค่ำคืนด้วย

ยังมีอีกเรื่อง สัญลักษณ์ของวู๊วูเหลือไว้ตลอดทางจริงด้วย และยังไปทางเดียวกับพวกเขาด้วย ตัวประหลาดขนขาวนั่นกลับไม่ได้หยุด วิ่งผ่านทุ่งโล่งไปเลย

"ก็ไม่รู้ว่าขนของวู๊วูโดนตัวมันถอนหมดหรือยัง ถ้าไม่มีขน มาถึงทะเลทรายเย็นนี่จะไม่ทำมันหนาวตายหรือไง" โหลชียกมือกุมขมับมองไปข้างหน้า ไม่เห็นเงาคนแม้แต่นิด ตัวประหลาดขนขาวนั่นไม่กลัวหนาวหรือไง? ทั้งๆที่ร่างกายนางไม่มีขนขาวปกคลุมอยู่สักหน่อย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ