เฉินซ่าแค่นเสียงเย็น ยัดกระบี่ดื่มเลือดใส่ฝัก มือซ้ายประคองโหลชี นิ้วชี้และนิ้วกลางมือขวาแนบชิดกัน นิ้วเรียวกระบี่นั้นพลันมีไอหมอกสีดำออกมา
โหลชีคว้าแขนเขาไว้ทันที "ตอนนี้กำลังภายในของท่านพอที่จะบังคับดัชนีมารล้างผลาญแล้วรึ?"
นางยังไม่ลืม ตอนนั้นเขาใช้ดัชนีมารล้างผลาญที่ทุ่งป่าเถื่อนพั่วอวี้ต่อกรกับเฮ่อเหลียนเจี๋ย แต่ค่าตอบแทนคือสูญสิ้นกำลังภายในจนหมด
เฉินซ่าไม่ได้พูดอะไร แต่โหลชีเข้าใจความหมายเขา โดนหน้ากากเหล่านี้ตามตื๊ออยู่ เขารำคาญแล้ว
แต่กำลังภายในที่ดัชนีมารล้างผลาญต้องใช้มันมากเกินไปจริงๆ ถึงเขาจะพึ่งกินยาแข็งจิตที่แข็งแกร่งที่สุดของนางไปก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี
ซวนหยวนฉงโจวสะบัดพัดไล่ไปสองหน้ากาก พอได้ยินคำนี้ก็พูดขึ้นว่า "รังสีกระบี่และจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่ดื่มเลือดเจ้าน่ะคล้ายกับดัชนีมารล้างผลาญที่เจ้าใช้ตอนนี้"
"หือ?" โหลชีใจกระตุก ได้ยินข้อเสนอบางอย่างจากคำพูดนี้ แต่พรสวรรค์ในด้านวิทยายุทธ์ของนางไม่สูงเท่าด้านอื่น เลยแค่ใจกระตุก
เฉินซ่ากลับเลิกคิ้ว สลายดัชนีมารล้างผลาญไป และชักกระบี่ดื่มเลือดออกมาใหม่ สะบัดข้อมือ รอบตัวกระบี่ดื่มเลือดก็แผ่ซ่านไอหมอกสีดำออกมา ไอสังหารไออำมหิตชนิดหนึ่งกำจายไปในอากาศ คล้ายคลึงกับเวลาเขาใช้ดัชนีมารล้างผลาญ
"นี่คือ...ใช้รังสีอำมหิตของกระบี่ดื่มเลือด?" โหลชีดีใจมาก ทำไมนางคิดไม่ถึงนะ จะว่าไป จิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่ดื่มเลือดก็เป็นไอสังหารและความอาฆาตอยู่แล้ว ตอนแรกที่ขาดจิตวิญญาณกระบี่น่ะเรี่ยวแรงก็มากจนเฉินซ่าเกือบควบคุมไม่อยู่แล้ว แบบนี้ก็ไม่ต้องให้เขาเสียกำลังภายในมากเกินไป ใช้กระบี่จริงแทนนิ้วกระบี่ "นี่น่าจะเรียกว่ากระบี่มารล้างผลาญ?"
"อืม"
เฉินซ่าเพียงรับคำ ซวนหยวนฉงโจวกับอวิ๋นก็พูดขึ้นอีกว่า "ดึงพวกเขาถอยหลังไป" เฉิงสิบโหลวซิ่นและเทียนยีตี้เอ้อร์ต่างปิดประสาทการฟัง ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว กำลังภายในของพวกเขาสี่คนค่อนข้างด้อย
ไม่ต้องให้เขาพูด อันที่จริง ซวนหยวนฉงโจวกับอวิ๋นก็รับรู้ได้ถึงพลานุภาพของกระบี่มารล้างผลาญนี่แล้ว เลยแยกกันไปคนละข้าง ลากเฉิงสิบโหลวซิ่นกับเทียนยีตี้เอ้อร์ดึงถอยหลังไป
เวลานี้หน้ากากหกหน้านั่นก็คล้ายจะสัมผัสถึงอันตรายได้ เลยค่อยๆเหาะถอยหลังพร้อมกัน
อากาศรอบข้างเหมือนโดนกระบี่ดื่มเลือดดูดซึมไป ในขณะเดียวกับที่เฉินซ่าสะบัดกระบี่ช้าๆร่ายวนกลายเป็นพายุ ทำให้คนรู้สึกหายใจยังลำบาก หน้าอกหายใจไม่ออกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงแหลมเสียดหูของโลหะเสียดสีกันอีก เสียงนั้นเหมือนจะเสียดเข้าไปในแก้วหูทุกคน ซวนหยวนฉงโจวสบตากับอวิ๋น และลากคนทั้งสี่ถอยไปอีกหลายก้าว
พลานุภาพช่างร้ายกาจมากจริงๆ
"โหลชี เจ้าลงมาก่อนเร็ว" ซวนหยวนฉงโจวเห็นโหลชียังปีนอยู่บนหลังเฉินซ่า ทนไม่ไหวเรียกนาง ต้องแนบชิดแบบนี้ไหม? เวลานี้ควรหหนีให้ห่างสิ
จากนั้นเขาก็เห็นโหลชีหันมามอง และแหวกรอยยิ้มให้เขา
ท่าทางนั้นราวกับไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย
"พระเจ้า"
ซวนหยวนฉงโจวเรียนรู้คำไม่ดีนี้อย่างไม่รู้ตัว และโพล่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ดังนั้นจะบอกว่าพวกเขาเป็นคู่กันรึ? ทั้งๆที่กำลังภายในของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลย แต่เขารู้สึกกดดันนัก นางกลับไม่ได้ผลกระทบอันใดเลย? มันเกินไปหรือไม่?
โหลชีเห็นท่าทางโดนกระแทกใจของเขาแล้ว ก็หันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา จากนั้นเห็นพวกเขาทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นเต้น และยังใช้ส่วนท้องของนิ้วชี้เปิดเปลือกตาขึ้น เผยให้เห็นเขี้ยว แกล้งทำแลบลิ้นปลิ้นตาที่อัปลักษณ์ยิ่งกว่า
พระนางจักรพรรดินีรู้สึกภูมิใจนัก ดูเถอะ พอนางทำแลบลิ้นปลิ้นตาขึ้นมาก็ทำได้เต็มที่นัก ไม่กลัวทำตนเองไม่น่าดูเลยสักนิด
แต่โหลวซิ่นทนไม่ไหวร้องออกมา "ฮองเฮาท่านจะจริงจังหน่อยได้หรือไม่?" หลังจากพวกเขาถอยออกมาก็เปิดประสาทการฟัง หน้ากากหกหน้านั่นโดนบีบคั้นล่าถอยจนไม่ได้ร้องไห้อีก
พอเห็นฝ่าบาทใช้ไม้ตายแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ พวกเขาก็ตื่นเต้นยินดี รอจนเห็นเขาฆ่าหน้ากากหกหน้าหมดแล้ว สุดท้ายกลับต้องมาเห็นจักรพรรดินีทำแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พวกเขาอยู่บนหลังฝ่าบาท
"เชอะ ไม่มีอารมณ์ขันเสียเลย!" โหลชีเบ้ปาก
ทุกคนพากันเหงื่อตก
เฉินซ่ากลับไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวด้านหลัง กระบี่ยาวถูกยกขึ้น รังสีอำมหิตกลายเป็นค่ายกลแล้ว แหวกฉีกอากาศที่รายล้อม หน้ากากหกหน้านั้นรวมกลุ่มกัน เหมือนหวาดกลัวมาก ค่อยๆล่าถอยไปด้านหลังทีละน้อย
"ข้าจะสวดส่งพวกเจ้าเอง"
เฉินซ่าพูดด้วยเสียงเย็นชาจบ ข้อมือสะบัดหมุน กระบี่ดื่มเลือดหมุนวนเข้าหาหน้ากากหกหน้านั่นทันที
เสียงปะทะดังสนั่น เหมือนอากาศกลุ่มก้อนใหญ่ชนเข้ากับหน้ากากหกหน้า จากนั้นก็ห่อหุ้มไว้ ไม่นานก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น พวกเขาเห็นกับตาตนเองว่าหน้ากากหกหน้านั่นโดนระเบิดเป็นจุล
ทุกคนต่างมองกันหน้าตาแตกตื่น
แต่นี่ยังไม่หมด
กระบี่ของเฉินซ่าปาดออกเป็นวงกลมที่ด้านหน้า ลมพัดแปรปรวนมา ตวัดม้วนตัวเศษซากเนื้อเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน เสียงบรึ้มดังขึ้น รังสีกระบี่รังสีอำมหิตแข็งแกร่งปะทะกันจนเกิดประกายไฟ และเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว เผาไหม้พวกดวงตาเศษหนังเหล่านั้นจนเป็นเถ้าถ่าน
ระหว่างแสงและเงา เศษเถ้าถ่านสีดำลอยคละคลุ้งและตกลงมา เหมือนเสียงคร่ำครวญของสตรีเหล่านั้น
ทุกคนพากันมองตะลึงอย่างเงียบงัน ในเวลานี้เอง โหลชีกอดรัดคอเฉินซ่าอย่างแรง ร้องขึ้นมาอย่างปรีติลิงโลด "ฝ่าบาท ท่านเป็นความภูมิใจของข้ายิ่งนัก! ข้าเป็นแฟนคลับของท่าน!"
เห
โหลวซิ่นแอบกระทุ้งเฉินซ่า พูดเสียงเบาว่า "เพื่อนรัก คนนี้คือเจ้านายของเจ้าจริงรึ?" เดิมเขาคิดจะล้อเล่น ถ้าเป็นการล้อเล่น ต้องเอามือปิดหน้าตอบเขากลับแน่ว่า "ข้าไม่รู้จักนาง..."
เพราะไหนเลยจะมีสง่างามและหรูหรา เป็นมารดาแห่งแผ่นดินของจักรพรรดินีแคว้นหนึ่งสักนิดไม่?
พวกเขาคนมากขนาดนี้ยังเดินทางอย่างอันตรายขนาดนี้ ยังจะมีใครเก่งกาจกว่าคณะพวกเขาอีกรึ?
อวิ๋นรับคำต่อ "คนที่ทะลุหุบเขาไป บางทีอาจจะผ่านไปก่อนที่ที่นี่จะโดนจัดวางไว้แบบนี้" ดังนั้นเวลานั้นเลยไม่มีอันตราย "หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะคนที่จัดวางที่นี่ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้โดนตัวประหลาดขนขาวนั่นปล่อยออกมา"
ซวนหยวนฉงโจวพยักหน้าเห็นด้วยกับการคาดเดาของเขา "ก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเลยทะลุผ่านที่นี่ไปได้ก็เป็นไปได้อย่างมากเลย"
พวกเขายืนคาดเดาอยู่ที่นี่ เฉินซ่ากลับพูดเสียงขรึมว่า "ทางสายนี้ต้องเป็นทางที่ถูกต้องแน่ ไม่งั้นเฮ่อเหลียนเจี๋ยไม่มีทางเลือกมาทางนี้"
ซวนหยวนฉงโจวสบตากับอวิ๋น ไม่คิดว่าเขาจะเชื่อฝีมือของเฮ่อเหลียนเจี๋ยขนาดนี้
โหลวซิ่นแทรกขึ้นมาว่า "เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมเฮ่อเหลียนเจี๋ยต้องพาฮองเฮาผ่านทางนี้" สายตาเฉินซ่าวาบขึ้น เพราะเหตุใดกัน? นั่นเป็นเพราะเขาเองก็ร้อนใจ ถึงเฮ่อเหลียนเจี๋ยจะไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกร้อนใจออกมาเลย และมีแต่ความเรียบนิ่งประหนึ่งเชื่อมั่นว่าเอาชนะได้แน่มาตลอด แต่เฉินซ่ารู้ว่าเขาร้อนใจมาก
ต้องเป็นเพราะทางนั้นต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่
เฉินซ่ามีลางสังหรณ์ แผ่นดินใหญ่หลงหยินตอนนี้น่าจะวุ่นวายนัก อันที่จริงมันเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเขาจะไป จะวุ่นวายก็วุ่นวายด้วยกัน ใครก็จะดูแลแต่ตัวเองไม่ได้ พอพวกเขาไปก็จะได้ไม่กลายเป็นเป้าหมาย
....
ชิงยีหาม้าป่ามาได้สองตัว ถึงจะไม่มีอานม้า แต่ด้วยฝีมือการขี่ม้าของพวกเขาแล้วไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย
"นายท่าน ตอนนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"
เฮ่อเหลียนเจี๋ยยิ้มบาง "ฝีมือการทำยาพิษขององค์หญิงน้อยเก่งกาจมาก แต่ว่า เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า วิธีการของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับอาจารย์อาที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของข้าคนนั้น?"
ชิงยีสะอึก ยิ้มเศร้าในใจ นายท่าน ท่านยังไม่เคยเห็นอาจารย์อาคนนั้น ข้าน้อยยิ่งไม่มีทางเคยเห็นอยู่แล้ว ข้าน้อยไม่รู้ด้านนี้เลย มีหรือจะรู้ว่าวิธีของพวกเขาคล้ายคลึงกันหรือไม่เล่า?
แต่ท่าทางเฮ่อเหลียนเจี๋ยไม่เหมือนจะให้เขาตอบจริงๆ สายตาเขามองไปไกลแสนไกล จู่ๆก็พูดขึ้นว่า "บางทีข้าควรจะเขียนจดหมายไปถึงอาจารย์ที่ น่ารักน่านับถือเสียแล้วล่ะ"
ชิงยีอึ้งเล็กน้อย "แต่ว่า นายท่าน ท่านกับนางมิใช่..."
"เป็นศัตรูกันแล้วรึ?" เฮ่อเหลียนเจี๋ยพูดต่อจากเขา สายตาเผยแววรังเกียจออกมาวูบหนึ่ง แต่ไม่นานก็หายไป "ระหว่างอาจารย์และศิษย์จะมีความขัดแย้งอันใดไม่อาจแก้ไขได้กันเล่า"
ชิงยีคลับคล้ายจะเข้าใจ
ความคิดของท่านอ๋องตน เขารู้ครึ่งไม่รู้ครึ่งมาตลอด
ทันใดนั้น เขาก็ทนไม่ไหวถามออกมาอีกว่า "นายท่าน ท่านว่าพวกเขาจะผ่านหุบเขาติดตรึงอย่างปลอดภัยหรือไม่?" เฮ่อเหลียนเจี๋ยมองเขาหนึ่งที ถามอย่างจะยิ้มก็มิใช่หัวเราะก็มิเชิงว่า "ทำไม ชิงยีเป็นห่วงพวกเขารึ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ