เพียงแต่ที่นี่ไม่มีตู้เย็น แถมตอนนี้ยังเป็นปลายฤดูร้อน จะแช่เย็นค่อนข้างลำบากสักหน่อย โชคดีที่มีบ่อน้ำลึกอยู่ไม่ไกลจากคุก อาจเพราะมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี ดังนั้นบ่อน้ำจึงเย็นกว่าบ่อน้ำทั่วไป บ่อนั้นลึกมาก อุณหภูมิก้นบ่อต่ำมาก เอาใส่ตะกร้าห้อยลงไปแช่แข็งคืนเดียวก็พอแล้ว ไม่มีทางเสีย
สำหรับพวกชอบกินแล้ว ไม่มีเงื่อนไขก็ต้องหาทางสร้างมันขึ้นมา เพื่อกิน
โหลชีเป็นร่างกายประเภทกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน จุดนี้ในยุคปัจจุบันทำให้ผู้หญิงมากมายแค้นจนกัดฟันกรอด แต่ถ้านางมีภารกิจ พลังงานที่เสียไปในแต่ละวันก็ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเทียบได้ ไม่กินให้มากหน่อยก็ฟื้นฟูกลับมาได้ยาก
"แกงกระด้างมาลา? แช่แข็งสิ่งใดรึ?" เหล่าพ่อครัวของจวนเจ้าเมืองคนก่อนต่างหนีหายกันไปหมดแล้วหลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น พ่อครัวของตำหนักจิ่วเซียวในตอนนี้ล้วนมาทีหลัง แต่เพราะทั่วทั้งตำหนักจิ่วเซียวนอกจากองครักษ์เสวี่ยแล้วมิมีเจ้านายสตรีเลย สำหรับข้อเรียกร้องเรื่องอาหาร เรียกร้องรสชาติมากหน่อย แต่มิได้เรียกร้องรูปลักษณ์เลย ดังนั้นสิ่งที่ทำออกมามักจะมีปริมาณมาก รสชาติดี รูปลักษณ์พอดูได้ เคยเห็นของงดงามเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?
"ใช้หนังหมูทำ" โหลชีพูดไปพลางกินแกงกระด้างมาลาไปพลาง หันมาบอกเขาว่า "อย่าหาว่าข้าไม่ดีกับเจ้า นี่ ให้เจ้ากินสองชิ้น"
อิงพูดไม่ออก ได้แต่ถลึงตาใส่นางว่า "เจ้ามีเป็นถาดใหญ่เยี่ยงนี้ ให้ข้ากินสองชิ้น ตระหนี่เกินไปกระมัง!"
แกงกระด้างมาลานี่โดนหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ปริมาณสำหรับผู้ชายวัยฉกรรจ์แล้ว หนึ่งชิ้นคือหนึ่งคำ
"ไม่อยากกินก็มิต้องกิน" โหลชีมองบนใส่เขา และหยิบอีกชิ้นเข้าปาก
อิงโมโห วางขนมที่ตนยกมากระแทกดังลงบนโต๊ะ อีกมือคว้าแกงกระด้างมาลาถาดนั้นของนาง หมุนตัววิ่งไปด้านนอก "นี่ฝ่าบาทพระราชทานให้เจ้า ส่วนถาดนี้ข้าช่วยเจ้านำไปถวายพระองค์แล้วกัน!"
"นี่ เจ้าบ้าอิง! คืนข้ามานะ ข้ายังกินไม่อิ่ม!" โหลชีร้องตะโกนไล่หลัง
อิงวิ่งผลุบหายไปไม่เห็นเงา
เอ้อร์หลิงมองแล้วเหนื่อยใจ พูดเสียงต่ำว่า "แม่นาง พวกเรายังมีอีกถาดห้อยไว้ในบ่อมิใช่หรือเจ้าคะ...."
โหลชีบอก "ใช่สิ หากข้ามิแสร้งทำ มิแน่เขาอาจคิดว่ายังมีอีก เกิดขอข้าเพิ่มจะทำเยี่ยงใดเล่า?"
เอ้อร์หลิงเหงื่อตกเงียบๆ
อิงยกถาดแกงกระด้างมาลาไปทางตำหนักสาม ระหว่างที่ผ่านตำหนักสองก็เห็นองครักษ์เสวี่ยกับองค์หญิงสองคนจากเป่ยชางค่อยๆเยื้องกรายมาทางประตูตำหนักสาม
ได้ยินว่า แคว้นเป่ยชางแน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายกับสตรีอย่างมาก ต่างกับคนป่าเถื่อนเหมือนพวกเขาที่ตามติดเฉินซ่าอยู่ด้านนอกหลายปี หรือไม่ก็อยู่ในสนามรบ ดังนั้นอิงขมวดคิ้วหวังจะหลบหลีกไป แต่เป่ยสาวเย่าเห็นเขาเสียแล้ว
"ใต้เท้าองครักษ์อิง"
อิงได้แต่เดินขึ้นหน้าไป "อิงคารวะองค์หญิงทั้งสองพ่ะย่ะค่ะ"
"ใต้เท้าองครักษ์อิงจะไปตำหนักสามด้วยรึ?" เป่ยฝูหรงพูด สายตาจับจ้องไปที่แกงกระด้างมาลาถาดนั้นที่เขาถืออยู่ อุทานอย่างแปลกใจว่า "เอ้า นี่เป็นขนมอันใดรึ? งดงามจริง"
เป่ยสาวเย่าเข้ามาดูด้วย พอดู เห็นกลีบดอกไม้ด้านในอย่างชัดเจน ทำให้นางอดเบิกตากว้างขึ้นไม่ได้ "สิ่งนี้ทานได้รึ?"
องค์หญิงทั้งสองมาถึงพั่วอวี้หลายวันนี้ พวกนางที่เดิมทีมีชีวิตหรูหราสุขสบาย เบื่อหน่ายกับเครื่องเสวยของตำหนักจิ่วเซียวแล้ว ทำออกมาให้ประณีตสักหน่อย สวยงามสักหน่อย รสอร่อยสักหน่อยมิได้รึ? ถึงรสชาติจะไม่เลว เหมือนอาหารชุดใหญ่อย่างเช่นเครื่องกระยาหาร แต่พวกนั้นยังห่างไกลจากเงื่อนไขของพวกนางนัก ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะสตรี มักจะนิยมของสวยๆงามๆ รวมถึงของกินเช่นกัน
ตอนนี้พลันเห็นขนมงดงามถาดนี้ จะมิให้ดวงตาพวกนางเบิกกว้างได้เยี่ยงไร อันที่จริงไม่เพียงพวกนาง ขนาดองครักษ์เสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างๆยังสายตาเป็นประกายเล็กน้อย หากนางมิได้เข้ามาพูดคุยกับอิง กระทั่งสายตาที่มองเขายังมีแววกล่าวโทษด้วย
ทั้งๆที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน พวกเขาต่างหากเป็นคนกันเอง ทั้งๆที่ในใจองครักษ์อิงมิเคยมีสตรีอื่นมาก่อน แต่เพียงออกไปข้างนอกครั้งเดียว พวกเขาพาโหลชีกลับมา มีฝ่าบาทคอยคุ้มครอง อิงกลับโกรธนางเพราะสิ่งที่นางทำกับโหลชี!
โหลชีนั่นมีอะไรดีกัน มีอะไรดีนะ!
ขนาดเยว่ยังแอบบอกนางว่า หากเจอโหลชีให้หลีกทางไปดีกว่า ถือดีอันใดกัน? ตำหนักจิ่วเซียวนี้ นอกจาก ฝ่าบาทแล้ว นางมิจำเป็นต้องหลีกทางให้ผู้ใด! โหลชีนางเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น ถือดีอันใดมาวางอำนาจบนหัวนาง?
ครั้งนี้ สององค์หญิงจากเป่ยชางมาหานางบอกว่ามีเรื่องต้องกราบทูลหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท นางนำพวกนางมา และระหว่างทางก็รู้เป้าหมายที่พวกนางมาพบฝ่าบาท มันพอเหมาะพอเจาะกับแผนของนางเลย!
ระหว่างที่หัวใจองครักษ์เสวี่ยกำลังครุ่นคิด อิงก็กำลังตอบคำถามของสององค์หญิง
"นี่คือแกงกระด้างมาลา อิงมิทราบว่าใช้สิ่งใดทำขอรับ" สำหรับเรื่องที่โหลชีบอกเขาว่าใช้หนังหมูทำ เขายังไม่เชื่อ หนังหมูจะสามารถกลายเป็นแกงกระด้างมาลาที่ใสกระจ่างเยี่ยงนี้ได้? สำหรับคนที่ไม่มีทักษะในการทำอาหารแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นของที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว เขารู้สึกว่าเมื่อครู่โหลชีแสร้งโกหกตัดบทเขา
"มีบางพวกมิอยากร่วมมือกับคนอื่น เลยจัดการสั่งคนมาลอบฆ่านายท่านเอง ในเมืองพั่วอวี้ลงมือมิใคร่ได้ พวกเขาล้วนจับตามองพวกข้าอยู่ ขอเพียงฝ่าบาทออกนอกเมือง ก็จะมีคนมาหาเรื่องไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด!"
ฮั่วหยูฉุนพูดมาถึงตรงนี้ จู่ๆเทียนอิ่งก็ปรากฏตัวขึ้น พูดต่อว่า "ช่วงนี้พวกข้าได้รับข่าวมา คนพวกนั้นกำลังจะก่อตั้งสมาพันธ์ทำลายซ่า เป้าหมายเพื่อเอาชีวิตฝ่าบาท"
โหลชีเหล่เขาหนึ่งที "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นายท่านมิอยู่ในอันตรายรึ? เจ้ายังไม่รีบไปตามประกบอารักขาท่านอีก วิ่งมาทำกระไรที่นี่กัน?"
"เรียนแม่นาง ฝ่าบาทให้ข้ามาขอรับ อยากจะบอกแม่นางสักคำว่า เรื่องทางคุกเสร็จสิ้นแล้ว สมควรแก่เวลากลับตำหนักสามได้แล้ว" เทียนอิ่งบอก
โหลชีหน่ายใจ นางพึ่งจัดการเรื่องแล้วเสร็จวันนี้ เขาเองไม่ได้แวะมาหลายวันแล้ว รู้ละเอียดขนาดนี้ได้ยังไง? อีกอย่าง เทียนอิ่งเป็นองครักษ์เงาใกล้ชิดของเขา แค่คำพูดแค่นี้ ให้ใครมาไม่ได้หรือไง ต้องให้เขามารายงานเอง?
"พิธีคัดเลือกสนมใกล้ถึงแล้ว?" นางพบว่านางยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปเลย ทางคุกไม่เหมือนตำหนักหนึ่งและตำหนักสองที่มีแต่นางกำนัลเต็มไปหมด วันๆพูดกันแต่เรื่องนี้ ฝั่งนี้มีแต่ชายฉกรรจ์ ถึงจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้สำคัญเท่าจัดการดูแลคุกให้ดี อีกอย่าง พยายามพัฒนาตนเอง เพราะพวกเขาที่อยู่ในเขตคุกนี้มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเจอกับอันตรายถึงชีวิต
"ขอรับแม่นาง อีกสามวันจะเป็นพิธีคัดเลือกสนม" เทียนอิ่งบอกฮั่วหยูฉุนกลับมองนางอย่างมีสิ่งใดอยากจะพูด
"หัวหน้าผู้คุ้มฮั่ว มีกระไรจะพูดก็ว่ามาเถิด อ้ำๆอึ้งๆทำกระไร?" โหลชีทนไม่ได้ที่เห็นท่าทีอย่างนั้น
"แม่นางโหล อันที่จริงข้ามีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือแม่นางโหลมาตลอด"
"เรื่องอันใดรึ?"
"ก่อนหน้านี้พวกข้าจับผู้บุกรุกได้คนหนึ่ง ทั้งๆที่รู้ว่ามันมีเป้าหมายพิเศษบางอย่าง หากมิสามารถเค้นข้อมูลจากปากมันออกมาได้เลย แม่นางโหลพอจะมีหนทางใดบ้างไหม?"
โหลชีกุมขมับ "ท่านคงมิได้เห็นข้าเป็นผู้รอบรู้กระมัง เรื่องการสืบสวนเค้นข้อมูลนักโทษก็ถามข้า?"
"เพราะสถานการณ์ของมันพิเศษมากจริงๆ มิใช่ปากหนักแต่อย่างใด จะปากหนักเพียงใดมาถึงข้าที่นี่ ข้าก็มีหนทางให้มันเปิดปากพูดได้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ