ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 591

เฉินซ่ายื่นมือไปโอบเอวของโหลชีเอาไว้แน่น เสียงดังขึ้นมาเบาๆ "ตามติดข้าเอาไว้"

โหลชีอืมออกมาคำหนึ่ง ถึงเขาไม่พูดนางก็จะตามติดเขาอยู่แล้ว ภายใต้สถานการณ์อันตรายที่ไม่รู้จัก มีเพียงแต่อยู่ด้วยกันเท่านั้นถึงจะอุ่นใจที่สุด เฉิงสิบและคนอื่นๆก็ตามติดอยู่ด้านข้างเช่นกัน ซ้ายขวาหน้าหลังล้วนวางกำลังคนของตัวเองเอาไว้ ปกป้องพวกเขาสองคนเอาไว้ตรงกลาง

พวกเขาได้ยินเสียงลมหายใจของคนไม่น้อยจากบริเวณโดยรอบ คนพวกนั้นย่อมตามเข้ามากันอยู่แล้ว มีคนอดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้

"วังศุทธิเซียนคิดจะทำอะไรกันแน่? ในเมื่อปล่อยให้เราเข้ามาแล้ว ทำไมถึงไม่พาเราขึ้นไปที่วังศุทธิเซียนเสียเลยล่ะ?"

"ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าจงใจจะแกล้งเราเล่นหรอกหรือ? รถม้าของพวกเขาเองสามารถขึ้นไปได้ เราไม่รู้เส้นทางที่ถูกต้อง แม้แต่ม้าก็ยังขี่ไม่ได้อีก"

"พอแล้ว ก็ใช่ว่าวังศุทธิเซียนจะต้องให้พวกเจ้ามาให้ได้เสียหน่อย" ในความมืดมิดมีคนกล่าวออกมาคำหนึ่งอย่างราบเรียบ เสียงนี้หนักแน่นจนทำให้คนรู้สึกถึงกำลังภายในที่ลึกล้ำของเขาอย่างชัดเจน ดังนั้นทันทีที่เขาส่งเสียงออกมา คนอื่นๆล้วนพากันปิดปากลง

เสียงแค่กดังขึ้นมา มีคนใช้หินเหล็กไฟ ไม่รู้ว่าไปเก็บท่อนไม้มาจากไหน จุดเป็นคบเพลิงขึ้นมา

ชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน

เถาวัลย์เลื้อยที่หนาแน่นราวกับงูสีน้ำตาลดำนับพันนับหมื่น สั้นยาวแตกต่างกันไป เถาที่ยาวบิดตัวรวมกันเป็นก้อน หรือแม้กระทั่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด เถาที่สั้นอย่างน้อยก็ยาวประมาณเมตรสองเมตร รวมตัวกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ มองไม่เห็นทางออกใดๆเลย

อาจเป็นเพราะว่าภาพนี้ทำให้คนตกตะลึงมากจนเกินไป ผู้ชายคนที่ถือคบเพลิงเอาไว้ในมือสั่นขึ้นมา คบเพลิงก็ตกลงไป เห็นว่ากำลังจะหล่นลงไปบนพื้นแล้ว

สายตาของเฉินซ่าประกายแวบขึ้นมา มือข้างหนึ่งปัดเข้าไป ฝ่ามือที่แฝงไอเย็นพัดไฟดับลงในทันที ทำให้ที่นี่กลับเข้าสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

แต่เมื่อครู่นี้คนพวกนั้นเห็นชัดเจนแล้วว่าใครเป็นคนลงมือ รู้สึกโกรธกันขึ้นทันที

"นี่ท่านรนหาที่ตายงั้นหรือ?"

เฉินซ่าเพียงแค่ฮึเย็นชาออกมาคำหนึ่ง ไม่สนใจอีกฝ่ายเลย

"คนขวางโลกจากไหนกัน คิดว่าคนของพวกเจ้าเยอะก็จะโอหังได้จริงๆ? อย่าคิดว่าพวกเราไม่รู้นะ ก็แค่อาศัยความงามล่อลวงหลินจื่อจวินนั่นแลกกับโอกาสขึ้นเขามาไม่ใช่หรือ?"

"แค่เห็นก็รู้เป็นพวกพรรคมาร ผู้หญิงที่พามาสองคนนั้นสวยก็สวยอยู่หรอก วรยุทธก็ธรรมดาๆ! คงไม่ได้กำลังเตรียมจะส่งไปยังวังศุทธิเซียนอีกหรอกนะ?"

โหลชีดีดนิ้วเสียงดังขึ้นมา โหลวซิ่นและคนอื่นๆค้นหาตรงเอวขึ้นมาพร้อมกัน ตรงเอวของทุกคนแขวนไข่มุกราตรีเอาไว้หนึ่งเม็ด ส่องบริเวณรอบกายให้สว่างขึ้นมาในทันที

ส่องไปทางใบหน้าของคนพวกนั้น บนใบหน้าของพวกเขามีความโกรธและการดูถูกที่ยังไม่ทันได้เก็บกลับไป คนกลุ่มนี้น่าจะมาถึงเมืองซื่อชิงมานานแล้ว ต่างคนต่างก็คุ้นเคยกันดีแล้ว ถือเป็นกึ่งพันธมิตรกันแล้ว มีกันประมาณเจ็ดแปดคน ส่วนคนอื่นๆสองคนสามคน และก็มีคนที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อยตามลำพังคนเดียวเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้สายตาของทุกคนล้วนถูกดึงดูดมาทางนี้กันหมด

โหลชีคิดเอาไว้ว่าอย่างน้อยต่อไปคนพวกนี้ก็อาจจะเข้าไปอยู่ในสำนักของอาจารย์นักพรตเลว อธิบายด้วยความหวังดีแทนเฉินซ่าคำหนึ่งอย่างหาได้ยาก

"พวกนี้คือเถาวัลย์ไฟ ติดไฟก็จะลุกไหม้ คบเพลิงมันอันตรายมาก"

นางรู้ว่าพวกนี้เป็นเถาวัลย์ไฟตั้งแต่แวบแรกที่เห็น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเฉินซ่าก็รู้เช่นกัน เมื่อครู่โชคดีที่เขาเคลื่อนไหวเร็วมากพอ ดับไฟคบเพลิงนั่นไป ไม่อย่างนั้นหากคบเพลิงนั่นร่วงหล่นลงไปบนเถาวัลย์เลื้อย เถาวัลย์ไฟขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็จะลุกไหม้ขึ้นมาในชั่วพริบตา พวกเขาแทบจะเท่ากับถูกฝังอยู่ในกองเพลิงไปเลยโดยตรง

พูดขึ้นมาแล้ว เฉินซ่ายังเป็นคนช่วยพวกเขาเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่ว่า เฉินซ่าย่อมไม่สนใจความเป็นความตายของคนพวกนี้อยู่แล้ว เขาเพียงแค่ไม่ยินยอมให้โหลชีได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อยนิดเท่านั้น

คนอื่นๆได้ยินคำพูดนี้ก็เข้าใจในทันที มีคนส่งสายตาแสดงความขอบคุณให้เฉินซ่าเล็กน้อย แต่ผู้ชายวัยกลางคนที่ถือคบเพลิงคนนั้นกลับทำเสียงเยาะเย้ยขึ้นจมูก มองพิจารณาโหลชี หัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า: "ทำไม ชายกระต่ายจะช่วยคู่ขาเจ้าพูดหรือไง? ดูเจ้าขาวเนียนอ่อนเยาว์ฟันขาวริมฝีปากแดง อยู่บนเตียงคาดว่าคงถูกคู่ขาเจ้าเอาจนร้องไห้เลยใช่ไหม? เขา......"

ยังไม่ทันได้พูดจบ ทุกคนเห็นเพียงแสงสีดำแวบขึ้นมา ศีรษะหนึ่งศีรษะก็ลอยออกไปราวกับลูกบอลลูกหนึ่ง

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกๆคนล้วนตกตะลึงไป ผู้ชายที่ชื่อซุนฉงคนนั้นพวกเขาพอจะรู้จักอยู่ เขาก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง และสามารถผ่านการทดสอบของนกจือจีตัวนั้นมาได้วรยุทธก็ไม่ต่ำอย่างแน่นอน แต่ว่า กลับถูกผู้ชายที่ใส่หน้ากากคนนี้ตัดศีรษะในกระบี่เดียว!

หนึ่งกระบี่ แค่กระบวนท่าเดียวเท่านั้น!

อีกฝ่ายไม่ทันได้มีแม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองด้วยซ้ำร่างกายกับศีรษะก็แยกกันไปคนละทางแล้ว!

หลังจากที่เขาชักกระบี่แล้ว ในพื้นที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยไอสังหารที่ไม่สิ้นสุด กดดันจนพวกเขาแทบจะยืดหลังให้ตรงขึ้นมาไม่ได้ ในใจก็ยังสั่นสะท้าน

เวลานี้ในใจของพวกเขาล้วนมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา นี่คือผู้สังหารเทพจากไหนกันเนี่ย?

ถึงแม้เดิมทีกลุ่มคนที่ถือว่าเป็นพันธมิตรกับซุนฉงพวกเขาล้วนแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ความหวาดกลัวกลับมีมากกว่า

"ผู้กล่าววาจาดูหมิ่น ตาย" เฉินซ่ากล่าวอย่างเย็นชาไร้ความปรานี

ผู้ชายที่น่าขยะแขยงนั่นถึงกับกล้ากล่าววาจาดูหมิ่นผู้หญิงสุดที่รักของเขาได้ ตายไปเช่นนี้ก็ยังถูกไปสำหรับเขา

เป็นเพราะมีเรื่องนี้แทรกเข้ามา บรรยากาศจึงเปลี่ยนไปเป็นอึมครึมเล็กน้อย แต่ว่าคนเหล่านี้อย่างไรก็เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือทั้งนั้น ที่ผ่านมาก็หยิ่งทะนงจนเคยตัว และไม่ได้หวาดกลัวเหมือนคนทั่วไป ดังนั้นก็ยังมีคนก้าวเข้ามาพูดคุยกับเฉินซ่าอยู่ คนที่เข้ามาก่อนคือคู่สามีภรรยาที่อายุใกล้จะห้าสิบแล้วคู่หนึ่ง ผู้ชายตัวเตี้ยกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ผู้หญิงถึงแม้จะอยู่ในวัยชราแล้ว แต่ก็ยังสามารถมองออกได้ตอนสาวๆต้องเป็นสาวงามคนหนึ่งเช่นกัน

"โม่เวิ่น กระบี่คู่มังกรแหวกว่ายแห่งราชวงศ์เฉิน เรียนถามจะขนานนามท่านอย่างไร?"

คนของราชวงศ์เฉิน?

สามารถพูดได้ว่า หากโม่เวิ่นคนนี้ไม่แจ้งออกมาว่าตนเองมาจากไหนก่อน เฉินซ่าต้องไม่สนใจอย่างแน่นอน แต่ว่าบังเอิญกระบี่คู่มังกรแหวกว่ายคู่นี้มาจากราชวงศ์เฉินพอดี ดังนั้นเฉินซ่าจึงสนใจแล้วจริงๆ

"เฉิน"

ริมฝีปากบางของเขากล่าวออกมาแค่นามสกุลเท่านั้น แต่ก็เป็นไปอย่างที่โหลชีคาดเดา สองคนนี้นึกว่าเป็นเฉิงไปเลยโดยตรง นามสกุลเฉิน หาได้ยากมากในแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ดังนั้นผู้คนในใต้หล้าจึงถือว่าเป็นราชสกุลแห่งราชวงศ์เฉิน

"ที่แท้ก็จอมยุทธเฉิงนี่เอง"

จอมยุทธเฉิง?

โหลชีอยากจะหัวเราะออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก ฮูหยินโม่คนนั้นก็มองมาทางนาง ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: "คุณชายท่านนี้ก็สง่างามไม่ธรรมดาเช่นกัน"

ทันใดนั้น บนท้องฟ้าก็เต็มเมฆดำ ท้องฟ้ามืดสลัวลงมาด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ไม่รู้ว่าเสียงลิงร้องดังมาจากไหน ฟังดูโศกเศร้าน่าสะพรึงกลัวเล็กน้อย

"ทุกคนระวังกันด้วย" เฉินซ่าขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวเตือนออกมาคำหนึ่งอย่างหาได้ยาก

ทันทีที่เสียงของเขาหยุดลง จู่ๆข้างหน้าก็ไม่มีทางอีก ลักษณะพื้นที่ภูเขาเลี้ยวลงกะทันหัน เบื้องล่างปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอก หินงอกเป็นต้นๆซ่อนตัวอยู่ในระหว่างหญ้าภูเขาที่หนาทึบ

จู่ๆก็มีเงาดำแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนคนมองไม่ทันได้ว่าเป็นคนหรือว่าสัตว์

ที่ๆพวกเขายืนอยู่ไม่มีทางให้เดินต่อไปอีกแล้ว

"ทำได้แค่กระโดดลงไปเท่านั้น" อวิ๋นยื่นหน้าไปมองครู่หนึ่ง

โหลชีมองดูครู่หนึ่ง รู้สึกแค่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่แห่งนี้ไม่ได้สูงมากนัก ด้วยวิชาตัวเบาของพวกเขาแล้ว กระโดดลงไปปลอดภัยก็จริง แต่ว่า ที่แห่งนั้นแทบจะถูกรายล้อมด้วยยอดเขาเล็กๆหลายแห่ง มองลงไปเช่นนี้กลับดูเหมืองกรงขังเล็กน้อย

"รอดูไปก่อน"

"คุณชายเจ็ดก็ยังขี้ขลาดไปหน่อย" มีผู้ชายคนหนึ่งเหล่มองมาที่พวกเขาครู่หนึ่ง กล่าวว่า: "พวกท่านน่าจะไม่รู้ใช่ไหม? ตอนที่หลินจื่อจวินทำการทดสอบเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ไปถึงวังศุทธิเซียนก่อนจะได้เป็นแขกผู้มีเกียรติ ข้าน้อยล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว พวกท่านดูกันต่อไปเถอะ" ขณะที่พูด ก็กางแขนทั้งสองข้างออกพุ่งตรงลงไปราวกับพญาอินทรี

ยังมีอีกสองคนที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กระโดดตามลงไปด้วย

"ยังมีคำพูดเช่นนี้ด้วย? ผู้ที่ถึงก่อนถือเป็นแขกผู้เกียรติ?" พวกโหลชีไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย ได้ยินคำพูดก็หันหน้าไปทางสามีภรรยาโม่เวิ่น ก็เห็นพวกเขาพยักหน้า

ในใจโหลชียิ่งสงสัยขึ้นมาแล้ว วังศุทธิเซียนต้องการจะทำอะไรกันแน่?

แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้คิดชัดเจน ด้านล่างของยอดเขาตรงสถานที่ที่พวกเขาเพิ่งจะกระโดดลงไปจู่ๆก็มีเมฆหมอกสีดำลอยขึ้นมาเป็นกลุ่มก้อน ได้ยินเสียงคนกรีดร้องดังขึ้นมารางๆ

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที

ชิวชิ้นเซียนกำลังจะยื่นหน้าไปมอง อิ้นเหยาเฟิงรีบดึงนางถอยออกมาทันที "หมอกดำนี้ผิดปกติ!"

คำพูดนี้เพิ่งจะพูดจบ ใบหน้าของผู้ชายอีกคนที่ยื่นหน้าไปมองก็ถูกหมอกดำจู่โจมเข้า ได้ยินเสียงผิวชุ่มชื้นแห้งตึงราวกับถูกย่างในทันที

"อ๊ากก! ร้อนจะตายอยู่แล้ว!" คนผู้นั้นกุมหน้าเอาไว้แล้วถอยหลังออกไปอย่างเร่งรีบ แต่พวกเขากลับเห็นใบหน้าของเขามีตุ่มน้ำพองขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ว กลายสภาพไปแล้ว

"พวกเราถูกล้อมเอาไว้แล้ว!" จู่ๆโหลวซิ่นก็พบความผิดปกติ หมอกดำยังคงลอยขึ้นมาจากเบื้องล่างของยอดเขา เมื่อลมพัดมา หมอกดำเหล่านั้นก็ถูกพัดกระจายออกไป แม้แต่เส้นทางตอนที่พวกเขามาก็ลอยอยู่ไม่น้อยแล้ว เหลือเพียงเนินเขาสถานที่เล็กๆที่พวกเขายืนอยู่แห่งนี้

"ห้ามสัมผัสหมอกดำ มีพิษร้ายแรง" สายตาของโหลชีก็ดุเดือดรุนแรงขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน

ตอนนี้พวกเขาหมดทางไปต่อทั้งหน้าและหลังแล้ว

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ