สีหน้าหยุนเฟิงดำมืดจนเหมือนมีใครเอาน้ำหมึกมาวาดภาพธรรมชาติลงบนใบหน้า เขาแอบกัดฟันกรอด ไม่สนใจหลินจื่อจวินคนนี้ และเดินอ้อมเขาไป
หลินจื่อจวินกลับรู้สึกว่าสาวงามเย็นชาและงามงด ความหลงใหลในดวงตายิ่งหนักขึ้น ยื่นมือออกมาหมายจะขวางนางไว้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "แม่นางดูร่างกายอ่อนแอ ให้ข้าน้อยช่วยพยุงท่านลงบันไดเถิด"
ร่างกายอ่อนแอบ้านแกสิ!
หยุนเฟิงแทบระเบิด หันมองทางโหลชีทันที รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้โดนนางพบเข้ามันช่างขายขี้หน้ายิ่งนัก แต่สตรีผู้นั้นกลับยิ่งหัวร่ออย่างหัวสั่นหัวคลอนเข้าไปอีก
"พรืด! ฮะฮะฮะฮะฮะฮะ!"
เวลานี้โหลชีอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้านักพรตเลวนัก
ไหนว่ายอดฝีมือไม่สนใจโลกภายนอก ไหนว่าสำนักใหญ่บำเพ็ญตนไง?
วังศุทธิเซียนกลับมีศิษย์แบบนี้ เป็นเพราะร้อนในจนตาพร่ามัวมีขี้ตาเต็มหรือไง?ถึงหยุนเฟิงในคราบสตรีจะงามแค่ไหน รูปร่างสรีระของเขาก็อยู่ตรงนั้นนะ มันดูอ่อนแอตรงไหนกัน?
อีกอย่าง ถ้าเป็นจ้าวหยุนออกมา ท่าทางเย้ายวนนั่นคงยิ่งเย้ายวนมากขึ้น ตอนนี้เป็นหยุนเฟิง หน้าตางดงามมาก แต่ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยนะ!
แต่ทรงผมเซียนโบยบินที่เสี่ยวโฉวทำให้เขาวันนี้ช่างงดงามมากจริงๆ
โหลชีหัวเราะจนน้ำตาไหล เฉินซ่ากลับนั่งดูละครฉากนี้ มองเห็นสีหน้าหยุนเฟิงดำจนเกือบจะเป็นน้ำหมึก ทำให้เขาช่วยอีกฝ่ายแก้สถานการณ์อย่างหายากนัก
"เฉิงสิบ ยังไม่รีบไปพยุงเมียเจ้าอีก?"
"พรืด!"
คราวนี้โหลชีหัวเราะจนชักกระตุกเลย
เมียของเฉิงสิบ?
โหลวซิ่นกับเสี่ยวโฉวกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก มันลำบากมากนะ แต่นี่เป็นคำพูดจากปากฝ่าบาท แถมฝ่าบาทในตอนนี้ยังเป็นใบหน้าเย็นชาเข้มงวดนั่นอีก พวกเขาไม่กล้าหัวเราะหรอกนะ?
มีแต่โหลชีเท่านั้นแหละที่กล้าหัวเราะ
ใบหน้าหล่อเหลาของเฉิงสิบบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่นายมีคำสั่ง มีหรือจะกล้าไม่ทำตาม!
เขากัดฟันกรอด เดินไปทางหยุนเฟิง ยื่นมือไปหาเขา "ไป"
หยุนเฟิงคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะวางมือลงไปดีไหม ถ้าวางมือลงไปบนมือเฉิงสิบจริง เท่ากับยอมรับสัมพันธ์สามีภรรยานี่สิ? แต่เขาดูออกว่า เฉินซ่ากำลังล้างแค้นส่วนตัว ข้างกายโหลชีนั้นนอกจากเขาแล้ว ก็มีเฉิงสิบที่หน้าตาหล่อเหลาที่สุด และเฉิงสิบยังภักดีต่อโหลชีมากนัก บางครั้งแม้แต่เขามองดูเฉิงสิบยืนใกล้โหลชีมากยังรู้สึกอิจฉาแกมปวดใจเลย แล้วนับประสาอะไรกับเฉินซ่าที่ขี้หึง?
ถ้าเขาไม่ยอมไปตามทางนี้ เฉินซ่าต้องไม่พอใจแน่ และมองดูโหลชีหัวเราะจนกลายเป็นแบบนั้น ช่างเถิด คิดซะว่าบันเทิงจะเป็นไรไป
แต่ในตอนที่เขากำลังจะวางมือลงไปบนมือเฉิงสิบ หลินจื่อจวินกลับเข้ามาขวางหน้าเฉิงสิบไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเข้มงวดมีคุณธรรมว่า "เจ้าเป็นสามีแม่นางผู้นี้จริงรึ? แต่ในดวงตาเจ้ามิมีแววรักใคร่เลยสักนิด! อย่าคิดว่าข้าดูไม่ออก!"
ระหว่างพูด เขาก็หันไปหาหยุนเฟิงอีก พูดเสียงเบาว่า "แม่นาง ท่านอย่าได้กลัวไป พวกเขาบีบบังคับท่านใช่หรือไม่? ในเมืองซื่อชิงนี้ ยังไม่มีคนที่ข้าน้อยกลัว ท่านพูดออกมาเลย ข้าน้อยจะปกป้องท่านเอง"
"พรืด ฮะฮะฮะ!" โหลชีหัวเราะจนพิงไหล่เฉินซ่าอย่างทนไม่ไหว หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว
หยุนเฟิงเหล่นางหนึ่งที เห็นเขามีปัญหา ต้องดีใจขนาดนี้เลยรึ?
เขามองท่าทางหัวเราะอย่างยากจะหาเห็นได้ของนาง พลันโกรธไม่ลง หันไปพูดกับหลินจื่อจวินเสียงเรียบว่า "ไม่มีใครบีบบังคับข้า แต่พวกเราอยากขึ้นวังศุทธิเซียน ไม่รู้ว่าจะผ่านการทดสอบของพวกท่านได้ไหม เมื่อครู่จึงอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไหร่"
ในเมื่อคนผู้นี้มาจากวังศุทธิเซียน ในเมื่อโหลชีต้องขึ้นวังศุทธิเซียน เขามาทางนี้จะเป็นไรไป
หลินจื่อจวินนั่นหันมองพวกโหลชี และมองหยุนเฟิงอีก เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว กดเสียงต่ำพูดว่า "ไม่เป็นไร ข้ามียาอยู่บ้าง อีกเดี๋ยวพวกท่านทาบนมือ นกจือจีของพวกเราจะไม่ทำอันตรายพวกท่าน"
พวกโหลชีกับเฉินซ่ามองดูรถม้าของวังศุทธิเซียนคันนั้นมุ่งหน้าออกจากเมืองซื่อชิง ต่างทนไม่ไหวหัวเราะออกมา แต่หยุนเฟิงนั่งรถม้าของวังศุทธิเซียนไป ดูท่าคงปลอดภัยแน่
พวกโหลชีกับเฉินซ่า องครักษ์อวิ๋น เฉิงสิบ โหลวซิ่นล้วนผ่านการทดสอบของนกจือจีนั่น และเอาสิทธิ์ที่สาวงามหยุนเฟิงใช้กลสาวงามประหยัดการเข้าทดสอบไปนั้นให้พวกอิ้นเหยาเฟิงชิวชิ่นเซียน ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อาจขึ้นเขาได้
"พวกเจ้าระวังหน่อย พอถึงตีนเขาถ้าพบว่าไม่สามารถขึ้นไปก็อย่าฝืน รอพวกเราที่ตีนเขา" โหลชีพูดกับทหารกองราชาอสูรเทพที่เหลือ
ทุกคนพากันพยักหน้าเข้าใจ
คนที่สามารถผ่านบททดสอบของเขาศุทธิเซียนได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ จากการสังเกตของโหลชี อันที่จริงแล้วนกจือจีนั่นถูกฝึกมาโดยเฉพาะ สามารถจิกได้ถึงเส้นชีพจรสำคัญในปากเดียว หากเป็นผู้ที่มีกำลังภายในกล้าแข็งก็ยังพอต้านทานไหว แต่ถ้ากำลังภายในอ่อนด้อยหน่อยก็ไม่ได้ ต้องมีช้ำแดงม่วงกันบ้างล่ะ
ดังนั้นนางเลยคาดเดาว่า การครั้งนี้ของเขาศุทธิเซียนไม่ธรรมดาแน่ พวกเขาให้คนพวกนี้ขึ้นไป แต่ก็กลัวว่าพวกวิทยายุทธ์ไม่กล้าแกร่งพอขึ้นไปจะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นเลยใช้วิธีการนี้มาทดสอบ
เพียงแต่ว่า นกจือจีก็ร้ายกาจจนทำให้นางถอนหายใจ เพราะทหารกองราชาอสูรเทพที่พวกเขาพามามีสิบกว่าคนที่ไม่ผ่านการทดสอบ แสดงว่า นกจือจีจะเลือกได้นั่น ต้องเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดเท่านั้น! ดังนั้นคนพวกนั้นที่ตามพวกเขาขึ้นเขาไปจะไม่สามารถเลินเล่อไม่ระวังได้เลย
เขาศุทธิเซียนไปยังไง อันที่จริงไม่ใช่ทุกคนที่รู้ เพราะในชนบทที่ห่างไกลจากเขาศุทธิเซียนมากก็มีค่ายกลเป็นชั้นๆแล้ว คดเคี้ยวไปมาราวกับเขาวงกต ถ้าไม่มีแผนที่ จะเดินไปถึงตีนเขาเขาศุทธิเซียนยังไม่ง่ายเลย
คนพวกนี้ล้วนได้แผนที่จากหลินจื่อจวินมา ใครก็ไม่อยากตามหลังใคร ดังนั้นเลยออกเดินทางเร็วมาก เลยมากันเป็นกลุ่มแรก
เพราะมีแผนที่ ระหว่างทางเลยราบรื่น พอถึงตีนเขาเขาศุทธิเซียน ทุกคนก้ต้องทิ้งรถแล้วออกเดิน ยอดเขาศุทธิเซียนอยู่ตรงหน้า กลางเขาก็มีเมฆหมอกรายล้อม ดูเหมือนแดนเซียน
แต่พวกเขาพบว่าทางเดียวในการขึ้นเขามีค่ายหินก้อนมหึมา ผู้มีแผนที่จะสามารถผ่านไปได้อย่างปลอดภัย ผู้ไม่มีแผนที่พอเข้าไปจะโดนหินก้อนมหึมาดีดให้ออกมา
พวกโหลชีได้แต่ให้คนที่เหลืออยู่ที่นี่
ผ่านค่ายกลก้อนหินไป เบื้องหน้ากลับดำมืดไปหมด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ