ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 604

คนที่ตกลงมาคือโหลชีเฉินซ่ากับเทียนอิ่งจริงๆ

วินาทีนั้นที่เห็นพวกเขาสามคน ทุกคนในวังศุทธิเซียนล้วนถอนหายใจโล่งอก พริบตาเดียวก็มีห้าหกคนเป็นลมสลบไปเพราะตบะเหือดหาย พวกเฉิงสิบกับอวิ๋นเป็นลมไปก่อนคนแรกเลย

พวกคนที่ไม่ได้เป็นลมสลบไปแต่สีหน้าซีดเผือดราวกระดาษ ร่างกายโอนเอน แต่ยังพยายามฝืนทนอยู่

ซวนหยวนคงกลับเป็นพวกประหลาด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาพึ่งจะออกมาจากช่องว่างของเวลา ร่างกายอ่อนแอและยังไม่ได้แข็งแรงขึ้นเลย แต่นอกจากเจ้าวังศุทธิเซียนแล้วเขากลับเป็นคนที่มีกำลังวังชามากที่สุด ดังนั้นพอเห็นโหลชีกลับมา เขาถึงได้ตะคอกออกเสียงดัง

"เหอะ นักพรตเลว คนหิวโซเป็นลมยังต้องตื่นเพราะเสียงตะคอกนี้ของเจ้าแล้ว" โหลชีนอนแหมะอยู่ตรงนั้นไม่ยอมลุกขึ้น นางหิวจนหัวหมุนตาลาย กว่าจะผ่อนคลายได้ ก็ยังหิว อุ๊ ที่นางนอนแหมะอยู่นี่คือเนื้อหรอ?

เฉินซ่าได้ยินเสียงนางกลืนน้ำลาย ก็เข้าใจทันทีว่านางคิดอะไร เพราะก่อนหน้านี้ในป่าลึกด้านนั้นนางก็เคยลองรสชาติการโดนเขาจูบไปจูบไปจนอยากกัดลิ้นเขาแล้ว

จอมตะกละนี่โดนปล่อยให้หิวเสียหลายวัน แรงอาฆาตสูงมาก ดังนั้นเขาเลยกอดนางไว้แน่นตลอด เขาไม่อยากเห็นนางหิวจนตาลายไปกัดลิ้นและปากของคนอื่น ต่อให้กัดจริง นั่นก็ไม่ได้

เขากลับไม่รู้ว่าซวนหยวนคงองค์ลงเพราะตอนนี้มือเขายังโอบเอวโหลชีอยู่ ปากก็ยังแนบใบหน้านางอยู่ จวบจนมีแรงหนึ่งลากโหลชีออกจากอ้อมกอดเขาออกไป

"บังอาจ!" เฉินซ่ากอดโหลชีพลางกระโดดขึ้น ทำเอาโหลชีที่หิวไร้เรี่ยวแรงไร้มันสมองยังอดเลื่อมใสไม่ได้ เวลานี้เขาทำไมยังขยับตัวปราดเปรียวอย่างนี้ได้อีกล่ะ?

อันที่จริงนี่ก็เป็นเพราะกำลังกายของซวนหยวนคงยังไม่ดีเท่าเดิม

"บังอาจ! ไอ้หนูปล่อยนางเลยนะ!"

"ข้ากับจักรพรรดินีจะเป็นเยี่ยงไร ต้องให้เจ้ามาก้าวก่ายด้วยรึ?"

หลังจากผู้ชายสองคนสาดไฟใส่กันอยู่หลายคำก็พลันเดาถึงฐานะของอีกฝ่ายขึ้นมาได้ในบัดดล

เอ๋ ผู้ชายของชีชี?

อ๋า นักพรตเลวที่ชีชีชอบบ่นถึงบ่อยๆ?

สี่สายตาประสานกัน แต่ใครก็ไม่ยอมถอย

แม่เจ้า ต่อให้เป็นผู้ชายของชีชีแล้วยังไงล่ะ? กอดซะแน่นขนาดนั้นต่อหน้าผู้ใหญ่ ใช้ได้ที่ไหนกัน? ปล่อยเลยปล่อยเลย!

เหอะ ต่อให้เป็นนักพรตเลวแล้วอย่างไรล่ะ? คนที่สนิทสนมกับชีชีที่สุดคือเขา ในฐานะสามีนาง เขาจะกอดอย่างไรก็เป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว อย่างไรซะ เรื่องที่สนิทสนมเสียยิ่งกว่านี้พวกเขาก็ทำมาหลายครั้งขนาดนั้นแล้ว

สายฟ้าฟาด ประกายไฟลุกโชติ

ขนาดโหลชีเองยังคิดไม่ถึงว่าผู้ชายสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตนางเจอกันครั้งแรกจะเป็นอย่างนี้

"อย่าทะเลาะกันเลย..." นางพูดอย่างหมดแรง "ข้าหิว ข้าจะกินข้าว..."

เอ้อร์หลิงพึ่งพุ่งเข้ามา แต่ไม่มีที่ให้นางแทรกเลย ได้แต่คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ พอได้ยินโหลชีพูดคำนี้ ในที่สุดนางก็หาความหมายของตนเจอ รีบร้องบอก "จักรพรรดินีรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปนำของกินมาให้!"

พอตื่นเต้น คำแทนตนว่าข้าน้อยที่ไม่ได้ใช้มานานก็พูดออกมาจนได้

"เอาล่ะ พักผ่อนที่นี่ก่อนเถอะ เรื่องอื่นอีกครู่ค่อยว่ากัน" เจ้าวังศุทธิเซียนถอนหายใจยาว หมุนตัวจากไป คนอื่นก็พยุงเพื่อนร่วมสำนักที่สลบไป เหยียบย่างก้าวอันอ่อนแรงจากไป

"ท่านพี่คง ข้าพยุงท่านไปพักผ่อนที่ห้องเถิด" ลู่ปินเจี๋ยบอก พลางยื่นมือจะพยุงซวนหยวนคง "ปินเจี๋ย พวกเราอายุปูนนี้กันแล้ว อย่าเรียกท่านพี่อะไรอีกเลย เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่เถิดนะ" ซวนหยวนคงมองโหลชี กลัวนางจะเอาเรื่องนี้มาล้อตน

คิดไว้ไม่ผิด พอโหลชีได้ยินคำว่า "ท่านพี่คง" ในใจเริ่มบิดเบี้ยว

"โธ่ ท่านพี่คงเนี่ย...." นางคิดจะล้อซวนหยวนคง พลันสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย "เสี่ยวโฉวล่ะ?" ซวนหยวนคงอยู่ที่นี่ เสี่ยวโฉวไม่ควรจะอยู่ที่นี่ด้วยรึ? อีกอย่าง พวกเขาจะกลับมา เสี่ยวโฉวก็น่าจะเฝ้าอยู่ด้วย พวกเอ้อร์หลิงยังอยู่เลยนี่นา?

แต่พอนางถามออกมาก็เห็นสีหน้าทุกคนดูผิดปกติ โหลชีเครียดทันที "เกิดอะไรขึ้น?"

"เอาล่ะ เจ้ากินก่อนแล้วกัน กินไปจะให้ลูกน้องเจ้าเล่าให้พวกเจ้าฟัง" ซวนหยวนคงพูดพลางหันมองเฉินซ่า "เจ้าด้วยเจ้าหนู ได้ยินว่าหน้าตาสง่างามมาก ตอนนี้ข้าดูแล้ว ใกล้แห้งตายเต็มที่แล้วนี่ หน้าก็สกปรกดำเมี่ยม สง่างามตรงไหนกัน"

พวกเขาโดนขังอยู่ในป่าลึกสามวัน ไม่มีอะไรกิน มีแค่ครั้งเดียวที่โหลชีหาเจอหญ้าชนิดหนึ่งที่สามารถเอามาเคี้ยวจนเป็นน้ำได้ พอประทังไปได้หน่อย และไม่ได้ล้างหน้าเปลี่ยนชุด ใบหน้าและกำลังวังชาก็คงไม่ดีไปไหนหรอก ร่างกายและใบหน้าล้วนสกปรก

น้อยครั้งนักที่เฉินซ่าจะโดนเรียกว่าเจ้าหนู ต่อให้เป็นซวนหยวนจื้อเขาก็ไม่ไว้หน้า แต่กับซวนหยวนคงเขากลับอดทน ทั้งหมดเห็นแก่สายสัมพันธ์ระหว่างโหลชีกับอีกฝ่ายหรอก

"ท่านเองก็พอกันแหละ" เขาเหล่ซวนหยวนคงหนึ่งที พูดเสียงเรียบขึ้น

ซวนหยวนคงลูบเคราถลึงตาใส่ทันที

เอ้อร์หลิงนำอาหารเลิศรสและบำรุงเข้ามาอย่างไว โหลชีได้กลิ่นหอมของอาหาร ดวงตาเป็นประกายสีเขียวขึ้นมาทันที

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องกินให้อิ่มก่อนถึงจะทำได้ ดังนั้นนางเลยลากเฉินซ่าพุ่งเข้าไป ซวนหยวนคงบ่นกระปอดกระแปดอย่างปวดใจว่า "โตเป็นสาวแล้ว ตอนนี้มีของกินไม่ลากข้าแล้ว..."

เฉินซ่าหันกลับมา ยื่นมือออกมาให้เขา "ให้ข้าลากท่านแทนไหม?"

บรรยากาศของเฉินซ่าพลันเย็นลงมา "ลงโทษนาง?" ช่างบังอาจนัก สตรีของข้ามีหรือจะให้ผู้อื่นมาลงโทษได้?

โหลชีตบบ่าเขาแผ่วเบา ไม่โกรธ เหล่มองซวนหยวนคง "เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ เวลาแบบนี้ท่านน่าจะบอกว่าข้าไม่ได้รับการสั่งสอน! ส่วนเรื่องที่ข้าไม่ได้รับการสั่งสอนเป็นความผิดของใคร? หือ? นักพรตเลว เจ้าออกไปกวาดลานเถอะ"

"ช่างเป็นลูกทรพีจริงๆ..." ซวนหยวนคงปวดหัวปวดใจนัก

ยังพูดไม่ทันจบ สีหน้าโหลชีพลันเครียดลง "ข้าจะบอกเจ้าให้ ควบคุมเพื่อนสมัยเด็กของเจ้าให้ดี ไม่งั้นข้าจะอัดนางจนเป็นหัวหมู!"

"เจ้า!" ลู่ปินเจี๋ยโกรธจัด ชี้นิ้วไปที่หน้าโหลชี ยังไม่ทันพูดอะไร ผู้ชายสองคนข้างๆก็เปลี่ยนสีหน้า ซวนหยวนคงแย่งก่อนหน้าเฉินซ่า จับไหล่นางโยนออกไปข้างนอก ลู่ปินเจี๋ยโดนเขาโยนออกนอกเรือน ถึงสภาพจะอนาถ แต่นางก็มีวิทยายุทธ์อยู่ ก็ยังลงมายืนที่พื้นอย่างปลอดภัยได้

แต่กลับขายหน้าใหญ่กว่าเดิม

ซวนหยวนคงปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงบนหน้าผากอย่างโอเวอร์ "ให้ตายสิ ขนาดข้ายังไม่กล้าชี้นิ้วมาที่หน้าเจ้า นังหนูอย่างเจ้าน่ะโกรธขึ้นมาทีน่ากลัวกว่าปีศาจเสียอีก เอาล่ะเอาล่ะ ไว้หน้าข้าบ้าง อย่าถือสานางเลย" ยังไงก็เป็นลูกสาวของอาจารย์ลุงเขานะ

โหลชีแค่นเสียงหึ "งั้นไม่แช่น้ำยาแล้วนะ"

"ฝันไปเถอะ! นั่นใคร!" ซวนหยวนคงชี้ไปที่เฉิงสิบ "ข้าจะเขียนใบสั่งยา เจ้าออกไปเอายาที่ศิษย์พี่ข้า! เจ้า ไปเตรียมน้ำร้อน" ประโยคสุดท้ายพูดกับเอ้อร์หลิง

เฉิงสิบกับเอ้อร์หลิงต่างยืนนิ่งไม่ขยับ มองโหลชี และมองเฉินซ่า

ซวนหยวนคงกลับเดือดจัด "ข้ายังสั่งการพวกเจ้าไม่ได้รึ? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ น้ำยานั่นสามารถเพิ่มหลักประกันให้นางได้อีกชั้นหนึ่ง จะได้ป้องกันนางมารอะไรนั่นมาแย่งชิงร่างกายนางอีก ไปไม่ไป?"

"ไป" เฉินซ่าพยักหน้าทันที

"ห้ามไป!" โหลชีโกรธแล้วเหมือนกัน หันหาเฉินซ่า "น้ำยานั่นน่ะแช่ทีเจ็บจะตาย ไม่แค่เจ็บประหลาด ยังคันมากด้วย!"

เฉินซ่ายืนขึ้นมา มองนางเขม็ง ในเวลาเดียวกันก็โบกมือไล่พวกเฉิงสิบกับเอ้อร์หลิง "รีบไป"

"เฉินซ่า!" สำหรับความทรงจำมืดมนของยาคงขวัญ ทำให้โหลชีขนลุก

"ข้าจะแช่เป็นเพื่อนเจ้า" เฉินซ่าพูดเสียงเรียบ

"เหอะ! เจ้าฝันไปเถอะ!" ซวนหยวนคงเต้นเร่าทันที

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ