ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 637

เสียงสองเสียงนี้ เป็นเหมือนกับแสงที่ชัดเจนในความสับสนวุ่นวาย และก็เหมือนกับลำธารใสในความร้อนรุ่ม เจือจางความเจ็บปวดของเฉินซ่ากับโหลชีและจิ้งจอกม่วงไปในทันที

"วันนี้เจ้าตัวขี้เหร่สองตัวนี้กินยาผิดไปหรือ? ถึงกับวิ่งมาถึงที่นี่อีก"

เสียงผู้ชายที่มีแรงดึงดูดเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

เสียงผู้ชายอีกเสียงหนึ่งทุ้มลึกเล็กน้อย กระแอมไอขึ้นมาครู่หนึ่ง ดูเหมือนร่างกายจะไม่สบายเท่าไหร่นัก "มีคนเข้ามา เหตุใดท่านถึงต้องแสร้งทำเป็นใจเย็นเช่นนี้กัน"

"เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ ในใจตื่นเต้นแทบเป็นแทบตายแท้ ก็ยังทำหน้าซังกะตายอยู่"

ทั้งสองคนเดินมาทางพวกเขา ขณะที่เถียงกันไปด้วย

ถึงแม้ว่าสัตว์ประหลาดตาสองสีจะไม่ได้โจมตีอีก ไม่ได้ส่งเสียงอีก แต่ว่าดวงตาของพวกมันกลับยังคงจ้องมองเฉินซ่ากับโหลชีอย่างแน่นหนา เพียงแค่เฝ้าเอาไว้อย่างระมัดระวัง ไม่มีท่าทีจะยอมแพ้แล้วจากไปเลยแม้แต่น้อย

มือที่ถือด้ามจับกระบี่เอาไว้ของเฉินซ่าปรากฏเป็นความซีดขาวขึ้นมา

หัวใจของเขาเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาที่ลึกล้ำจับจ้องไปทางคนสองคนที่เดินมาช้าๆ

นั่นคือผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่และสง่างามสองคน

ผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นอย่างมากเหมือนกันสองคน

ผู้ชายที่เย้ยฟ้าท้าดิน ยืดอกก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่งและทรงพลังเหมือนกันสองคน

โครงหน้าคนที่อยู่ทางซ้ายประณีตกว่าเล็กน้อย ตาโตคิ้วตรงปลายเรียวดุจกระบี่ หว่างคิ้วคือความสง่างามที่ยากที่จะปกปิดเอาไว้ได้ สวมชุดสีขาวล้วน คอเสื้อและแขนเสื้อเป็นรอยหลุดลุ่ยไปหมดแล้ว ยังมีรอยปะซ่อมอยู่อีกสองสามแห่ง แต่ก็ยังคงถูกเขาใส่ออกมาอย่างสูงส่งและองอาจผึ่งผาย

หน้าตาของเขา คล้ายกับโหลชีอย่างน้อยห้าส่วน เพียงแต่ว่าเขาองอาจผึ่งผายมากกว่า โหลชีงดงามมากกว่า

ผู้ชายที่อยู่ด้านขวาตัวสูงมาก ไหล่กว้างขวางมาก สวมชุดสีแดงและก็มีรอยหลุดลุ่ยกับรอยปะเช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดลักษณะท่าทางที่ทรงพลังอำนาจของเขาได้เหมือนกัน ดวงตาที่แคบยาว จมูกที่เป็นสันโด่ง ลักษณะริมฝีปากที่คล้ายคลึงกับเขามากนั่น......

"เสด็จ......เสด็จพ่อ......"

แม้จะเป็นเฉินซ่าที่ลิ้มรสความลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ฝ่าลมพายุฝนมาแล้วนับไม่ถ้วน หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา ในเวลานี้นัยน์ตาก็ยังอดที่จะแดงขึ้นมาไม่ได้

ลำคอเหมือนถูกบางอย่างอุดตันเอาไว้ ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาดทั้งปวดร้าวยากที่จะทนรับไว้ได้ ทรวงอกก็เช่นกัน

ถึงแม้เขากับโหลชีจะไม่พูดออกมา แต่ในความเป็นจริงต่างคนต่างก็เคยแอบจินตนาการ ตอนที่หาเสด็จพ่อเสด็จแม่ของตัวเองเจอจะมีความรู้สึกอย่างไร จะพูดอะไรกัน เดิมทีเฉินซ่านึกว่าตัวเองยังสามารถเผชิญหน้าอย่างใจเย็น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นเด็กที่ต้องการพ่อแม่อยู่

แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่า เขาจะถึงกับพูดไม่ออกด้วยซ้ำ

หว่างคิ้วของผู้ชายสองคนนี้ถูกย้อมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา นั่นคือความรู้สึกอย่างหนึ่ง ในความเป็นจริง ใบหน้าของพวกเขาดูแล้วอยู่ในวัยประมาณสามสิบกว่าเท่านั้น กาลเวลาดูเหมือนจะชอบพวกเขามากเป็นพิเศษ แลดูแล้ว นี่คือช่วงวัยที่ดีที่สุดของผู้ชาย

แต่ว่าผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่สองคนนี้กลับตะลึงงัน ยืนอยู่กับที่ ไม่ขยับเขยื้อนเลย

พวกเขาต่างก็ได้ยินคำเรียกว่าเสด็จพ่อของเฉินซ่าคำนั้น

จากความสูงและโครงหน้า คนโง่เท่านั้นที่จะดูไม่ออก ว่านี่คือใคร

ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดสีแดงจ้องมองดูเฉินซ่า ริมฝีปากสั่นเทา พูดไม่ออกเลยสักคำเดียว กลับเป็นผู้ชายในชุดขาวที่อยู่ด้านข้างหยิกตัวเองอย่างแรงหนึ่งที ถึงแม้จะรู้สึกมั่นใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังอดกล่าวถามขึ้นมาอย่างสั่นเทาไม่ได้: "เจ้าหนูเฉินซ่า? เจ้าคือเฉินซ่าใช่ไหม?"

เฉินซ่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆเฮือกหนึ่ง ฝืนกลืนความขมขื่นและเจ็บปวดลงไป "ใช่! ข้าคือเฉินซ่า ไท่จื่อแห่งราชวงศ์เฉิน! เฉินซ่า ท่าน......" พ่อตา......

"ซ่าเอ๋อร์......"

ฮ่องเต้เฉินเรียกเสียงเบาออกมาคำหนึ่ง เดินก้าวใหญ่ไปถึงตรงหน้าของเขา กำลังคิดอยากจะโอบกอดเฉินซ่าเอาไว้ ซวนหยวนจ้านในชุดขาวก็ตามทันเข้ามา มือข้างหนึ่งจับไหล่ของเขาเอาไว้ เขามองไปที่จิ้งจอกม่วงที่ร้องวูวูมาทางตนเอง "จิ้งจอกน้อย?"

"รอเดี๋ยวก่อน! คนที่เจ้าแบกไว้คือใคร?"

ในดวงตาที่เหมือนกับโหลชีของเขาคู่นั้นส่องประกายขึ้นมา "คือใคร?"

"ไท่จื่อเฟยของข้า จักรพรรดินีของข้า ผู้หญิงที่ข้ารักมากที่สุด!" เฉินซ่าอุ้มโหลชีจากแผ่นหลังมาด้านหน้า "นางชื่อซวนหยวนชี"

"ซวนหยวนชี?"

ซวนหยวนจ้านพึมพำชื่อนี้ซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง โซเซไปครู่หนึ่ง ร่างกายเสียการทรงตัว

"วูวู!" วู๊วูก็อดที่จะร้องขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน

"ซวนหยวนชี? โหลชี? คือเสี่ยวชีหรือ?" สายตาของฮ่องเต้เฉินก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าของโหลชีอย่างตื่นเต้นดีใจมากเช่นกัน "ฮ่องเต้จ้าน! ลูกสาวคนเล็กของเจ้า! คือนาง! เจ้าดูสิ นางหน้าตาเหมือนท่านเช่นนี้!"

"ลูกสาวของข้า เสี่ยวชี......"

ซวนหยวนจ้านมองดูโหลชี สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน: "นางเป็นอะไรไป?"

ทั้งสองคนมองหน้ากันครู่หนึ่ง เดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาพร้อมกัน จ้องมองไปทางสัตว์ประหลาดตาสองสีสองตนนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

ซวนหยวนจ้านขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน: "เจ้าตัวขี้เหร่ที่สมควรตายสองตัวนี้ กล้าทำร้ายลูกสาวของข้าหรือ?"

"ใครอนุญาตให้พวกเจ้าทำร้ายลูกสะใภ้ของข้ากัน?" ฮ่องเต้เฉินก็โมโหจนถึงขีดสุดเช่นกัน

ทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน ท่าร่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า กลายเป็นลำแสงสองแสงขาวหนึ่งแดงหนึ่ง พุ่งไปทางสัตว์ประหลาดตาสองสีในทันที

"รับความตายซะเถอะ!"

เสียงตู้มดังขึ้นมา กำลังภายในที่แข็งแกร่งหลั่งไหลออกมา จู่โจมไปทางสัตว์ประหลาดตาสองสีสองตนนั้นอย่างรวดเร็ว

อากาศบริเวณโดยรอบปั่นป่วนขึ้นมาอย่างฉับพลัน

เถาวัลย์ที่พันกันนับไม่ถ้วนก็ถูกสะเทือนจนขาดเป็นท่อนเป็นท่อน ร่วงหล่นลงมา

เฉินซ่าอุ้มโหลชีเอาไว้ถอยแล้วก็ถอยอีก มองดูพวกเขาอย่างตกตะลึง

กำลังภายในของฮ่องเต้เฉินกับฮ่องเต้จ้านลึกล้ำขนาดนี้เลย?

วรยุทธและการฝึกตนของพวกเขาสูงขนาดนี้ ทำไมถึงยังถูกขังอยู่ที่นี่ได้?

"ข้ากลัวว่าฆ่าพวกเจ้าไปแล้วจะไม่มีอะไรให้เล่น คิดไม่ถึงว่าเก็บพวกเจ้าเอาไว้กลับทำร้ายลูกสาวของข้า! ไปลงนรกซะ!" ซวนหยวนจ้านเพิ่มพลังการต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ระเบิดไปทางสัตว์ประหลาดสองตนนั้นอย่างบ้าคลั่ง

"วูวู"

ซวนหยวนจ้านจ้องมองเขาครู่หนึ่ง ทำไม? ถูกลูกสาวสุดที่รักของเขาเรียกชื่อโดยตรงก็เป็นเกียรติอย่างหนึ่งตกลงไหม! ต้องรู้ว่า เขาคิดมาตลอดว่าจะไม่มีโอกาสได้เห็นนางอีกแล้ว ตอนนี้ได้เห็นนางแล้ว ถึงแม้จะให้นางดึงหูเอาไว้แล้วด่าว่าไอ้สารเลวสองสามคำ เขาก็เต็มใจที่จะรับมัน!

"ดังนั้น พวกเราได้ยินเสียงของนางจริงๆใช่ไหม? ไม่ใช่ภาพลวงตาใช่ไหม?"

เสียงของซวนหยวนจ้านยังสั่นเทาเล็กน้อย

ฮ่องเต้เฉินยังไม่ทันได้ตอบ โหลชีก็ล้อมมือไว้ข้างริมฝีปาก ขณะที่น้ำตาหลั่งริน ก็ตะโกนเสียงดังออกมาไปด้วย: "ซวนหยวนจ้าน! ซวนหยวนจ้าน! ซวนหยวนจ้าน! ข้าคือโหลชี! ท่านใช่พ่อข้าหรือเปล่า!"

ไหนเลยที่ยังสนใจว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะใช่ เขาก็ยอมรับแล้ว!

สมบัติล้ำค่าของเขา ลูกสาวของเขา! ลูกสาวคนเล็กที่บอบบางอ่อนโยนแต่กลับได้รับความลำบากทุกข์ยากที่น่าสงสารของเขาในตอนนั้น! ของเขา!

น้ำตาอุ่นๆของซวนหยวนจ้านไหลรินออกมา อ้าแขนทั้งสองข้างไปออกทางโหลชี: "องค์หญิงน้อย......ของข้า!"

โหลชีกระโจนมาทางเขา

ซวนหยวนจ้านกอดนางเอาไว้แน่น น้ำตาที่ร้อนผ่าวร่วงหล่นลงบนไหล่ของโหลชีทีละหยด อุณหภูมิของน้ำตานั่นร้อนจนทำให้นางรู้สึกปวดใจไร้ที่เปรียบ อดที่จะร้องไห้ในอ้อมแขนของเขาขึ้นมาไม่ได้

นางดึงเสื้อผ้าของซวนหยวนจ้านเอาไว้ ร้องไห้แล้วก็ดุไปด้วย: "ซวนหยวนจ้าน ท่านมันพ่อที่ไม่เอาไหนที่สุด! ทำไมถึงไม่ออกไป!"

"ใช่ พ่อมันไม่เอาไหน!" หัวใจของซวนหยวนจ้านกำลังเต้นระรัว

ในตอนที่เขานึกว่าโหลชีจะดุเขาต่อไป นางกลับร้องไห้พร้อมกล่าวว่า: "ข้าเก่งกว่าท่านนะ ท่านต้องจำเอาไว้ ว่าข้าเป็นคนหาท่านเจอ ไม่ใช่ท่านหาข้าเจอ!"

"ใช่ๆๆ องค์หญิงน้อยของข้าเก่งที่สุด!"

เป็นครั้งแรกที่เฉินซ่าเห็นโหลชีร้องไห้เหมือนกับเด็กเช่นนี้ นางเข้มแข็งมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนที่เจอกับหยุนโยว นางก็แสดงออกอย่างใจเย็นมาก คิดไม่ถึงว่า พอเจอกับซวนหยวนจ้าน นางกลับร้องไห้ขนาดนี้

"ซ่าเอ๋อร์?"

ฮ่องเต้เฉินมองดูเขา

"เสด็จพ่อ ข้ากับชีชี มาพาพวกท่านออกไป"

พ่อและลูกชายคู่นี้กลับสงบเสงี่ยมกว่าพ่อและลูกสาวคู่นั้นอย่างมาก

พาพวกเขาออกไป?

"ออกไปไม่ได้ นอกเสียจากว่า มีกุญแจแสงจันทร์กับกุญแจโอสถน้ำพุ ถึงแม้จะมีสองสิ่งนี้ก็ไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องมีคนที่มีสมรรถภาพทางกายเป็นร่างทะเลแห่งยาคนหนึ่ง รวมสามสิ่งนี้เข้าด้วยกันเป็นกุญแจมนุษย์ จึงจะสามารถเปิดหุบเขาได้" ฮ่องเต้เฉินส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อน "กุญแจแสงจันทร์มี กุญแจโอสถน้ำพุก็สามารถหาได้ แต่ว่าผู้ที่มีร่างทะเลแห่งยา ยากที่จะหาได้ในโลกนี้"

ทันที่เสียงหยุดลง เขาก็เห็นใบหน้าของเฉินซ่าเผยความแปลกประหลาดออกมา และโหลชีที่กำลังร้องไห้เมื่อครู่นี้จู่ๆก็นิ่งเงียบไป กำลังยื่นดวงตาที่ร้องไห้จนแดงคู่หนึ่งออกมาจากอ้อมแขนของซวนหยวนจ้าน กะพริบตาแล้วมองดูเขา

"เป็นอะไรไป?"

โหลชีมองไปทางเฉินซ่า ดวงตาคู่โตที่ถูกน้ำตาชะล้างคู่นั้นดูสดใส และใสสะอาดมากเป็นพิเศษ ทำให้เฉินซ่าอยากจะแย่งตัวนางกลับมาจากอ้อมแขนของพ่อตาอย่างมาก

"ซ่า ข้าคิดว่าข้ารู้แล้วว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองเป็นอะไรไป"

ได้ยินคำพูดของฮ่องเต้เฉิน ด้วยความเฉลียวฉลาดของนาง ไหนเลยที่จะคิดไม่ออก? นางจับพลัดจับพลู กลายเป็นกุญแจมนุษย์คนนั้น!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ