ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 648

ฮ่องเต้จ้านถ่อมตนถึงเพียงนี้!

มายังแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง มาถึงเป่ยชาง ก็ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคน!

ตงสือยู่รีบดึงเป่ยสาวเย่าคารวะทางนั้นทันที "ตงสือยู่และฮองเฮาแห่งตงชิง คารวะกษัตริย์ซวนหยวนจ้าน"

ซวนหยวนจ้านโบกมือก "ตามสบายเถิด"

พูดจบเขาก็ไม่ได้สนใจสองคนนี้อีก หันไปพูดกับโหลชี น้ำเสียง ท่าทีเป็นสองชนิดอย่างชัดเจน

คำว่าตามสบายเมื่อครู่พูดอย่างราบเรียบน่าเกรงขามออกมา แต่พอหันไปหาโหลชี ก็กลายเป็นเสียงอ่อนโยนอบอุ่น

"ท่านตาเจ้าไม่เคยพูดนี่นา! เขาแค่บอกว่า เรื่องสำคัญมาก ถ้าคนพวกนั้นทำสำเร็จ น่ากลัวจะจัดการได้ยาก"

โหลชีพูดอะไรไม่ออก ดูท่าท่านตาของนางคนนั้นจะเป็นพวกประหยัดคำพูด ไม่ค่อยชอบพูด ถ้าบอกว่าหมอกดำนั่นเป็นสิ่งที่คนพวกนั้นที่เขาจะหาทำออกมา งั้นมีหรือจะใช้แค่ "จัดการได้ยาก"มาบรรยายได้?

เป็นวันสิ้นโลกแล้วต่างหากนะ!

แต่นางคิดไม่ตก มนุษย์ที่ไหนจะมีความสามารถขนาดนั้นมาทำสิ่งที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้ได้กัน?

นี่มันร้ายกาจยิ่งกว่าอาวุธชีวภาพเสียอีก อสุรกายจะล้างโลกล่ะมั้ง มฤตยูคนไหนมาล้างโลกหรืออะไรกันเนี่ย?

ถ้าท่านตาของนางหาคนพวกนั้นเจอ จะมีหนทางจัดการกับยับยั้งหรือเปล่า?

"พวกเราต้องไปดูด้วยตัวเองละ" เฉินซ่าพูดเสียงขรึม

พอได้ยินคำบอกเล่าของตู้เหวินฮุ่ย ทุกคนในที่นั้นก็หวาดกลัวขึ้นมา แต่พวกเขาไม่อาจถอยได้

ซวนหยวนจ้านพยักหน้า มองเฉินซ่าอย่างชื่นชม ลูกเขยคนนี้เขาพอใจมากจริงๆ พอใจมาก เวลานี้ถ้ามัวแต่รักตัวกลัวตาย มีหรือจะถือเป็นบุรุษที่องอาจผ่าเผย? ไหนเลยจะเหมือนกษัตริย์ที่รักใคร่ใต้หล้า?

เฉินซ่าดีมาก

"แบบนี้แล้วกัน ข้ากับเจ้าสามและเสี่ยวเทียนไปดูก่อน เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวชีที่นี่รอข่าวพวกเรา"

เฉินซ่าเหล่เขา "ข้าไปด้วยตัวเอง"

"เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเสี่ยวชี"

"ที่นี่คือแผ่นดินใหญ่ซื่อฟาง ข้าใหญ่" เห็นพวกเขาทำท่าจะทะเลาะกันขึ้นมาอีก โหลชีปวดหัวฉับพลัน รีบยกมือร้องห้าม "ข้าคัดค้าน!"

ซวนหยวนคงบอก "ลงคะแนนเสียงเถอะ! เห็นด้วยกับคำพูดของพี่ใหญ่ ยกมือขึ้น!" เขา ซวนหยวนจ้าน ซวนหยวนฮ่วนเทียน สามคนยกมือขึ้นพร้อมกัน

"สามต่อสอง พวกเราชนะแล้ว" ซวนหยวนคงสรุปผลทันที

โหลชีโกรธจัด "ชนะกับผีสิ! นักพรตเลว ให้คนโบราณที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยอย่างเสด็จพ่อพี่ชายข้าไปดูอะไรล่ะ? พวกเขาจะมองอะไรออก?"

ซวนหยวนคงสะอึก สองพ่อลูกซวนหยวนจ้านเบิกตากว้างพร้อมกัน "อะไรเรียกว่าคนโบราณที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย?"

"งั้นข้าไป ข้าไปเองได้แล้วกระมัง" ซวนหยวนคงตอบ

"ของพวกนี้เจ้าจะรู้ดีเท่าข้า?" โหลชีเหล่มองเขา "แน่ใจ?" คำพูดเดียวปิดปากพวกเขาแน่น

ที่โหลชีพูดก็เป็นความจริง ที่นี่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่านางอีกแล้ว พวกเขาไปไม่แน่จะดูอะไรออก แต่โหลชีไป ถึงจะมีความหวัง

"ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นก็ไปด้วยกันเถอะ" ซวนหยวนจ้านพูดช้าๆ "ไปด้วยกันหมด พวกเราครอบครัวเดียวกัน ต่อให้เจอทางตันจริงๆ ก็ยังมีเพื่อน"

เฉินซ่ามองทางโหลชี ยังไม่ทันพูดอะไร โหลชีก็ตบโต๊ะผ่าง "ดี! ไปด้วยกัน!" นางหันหาเขา รู้ว่าเขาอยากคัดค้าน เลยรีบแย่งพูดว่า "ถ้าพวกท่านยังคุ้มครองข้าไม่ได้ที่นั่น ข้าก็ไม่มีแรงต้านทานไม่มีหนทางหนี หลบไปอยู่ไหนก็เหมือนกัน อีกอย่าง ให้ข้าคนเดียวอยู่ที่นี่เป็นห่วงพวกท่าน ท่านว่าเป็นเรื่องดีรึ?"

พูดไป มือของนางก็วางบนท้องแผ่วเบา

เฉินซ่าเข้าใจความหมายของนาง

ถ้าบอกว่าคนมากมายขนาดนี้ไปยังคุ้มครองนางไม่ได้ เช่นนั้นไม่ว่าไปที่ไหนก็หยุดยั้งการคืบคลานกลืนกินของหมอกดำไม่ได้ สุดท้ายพวกเขาก็ไม่มีที่ให้หนีอยู่ดี

ถ้าสามีของนาง เสด็จพ่อของนาง พี่ชายของนางรวมถึงนักพรตเลวที่เป็นทั้งอาจารย์ทั้งพ่อล้วนไปเผชิญหน้าอันตรายอย่างนั้น ต่างเกิดเรื่องกันหมด อย่างนั้นต่อให้เอานางไว้ในที่ปลอดภัยแล้วอย่างไรล่ะ?

หากนางเกิดเรื่อง เขาก็ไม่ขออยู่คนเดียวดอก

ยังไงซะก็เหมือนกัน

เขาคอแข็งขืนเล็กน้อย ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ หลุบตาลงต่ำเล็กน้อยบอก "ตกลง"

โหลชีผ่อนหายใจเล็กน้อย เพื่อการยอมถอยของเขา และเพื่อการที่เขาเข้าใจความรู้สึกของนาง

เป่ยสาวเย่ามองพวกเขาแล้ว รู้สึกอิจฉาริษยาในใจอย่างแรงกล้า

ลมฝนอยู่คู่เคียง ทั้งสองคนนี้ไม่ว่าเมื่อใด ไม่ว่าเผชิญเรื่องอะไร ก็ล้วนจับมือเคียงบ่าเคียงไหล่เช่นนี้กระมัง? นางอิจฉาความรู้สึกนั้นระหว่างพวกเขา

ไม่ให้โหลชีไปก็เพื่อปกป้องนาง ทำเพื่อนาง แต่ให้นางไป ก็เพื่อต้องการอยู่ด้วยกัน

นางหันมองตงสือยู่อีก

ตงสือยู่เองก็สง่างามนัก และยังถือเป็นบุรุษที่ไม่เลวคนหนึ่ง เป็นฮ่องเต้ที่ดี แต่กลับไม่ใช่สามีที่ดี เขามีวังหลังสนมนางในเป็นพัน ในยามที่นางมีครรภ์ สตรีอื่นก็มีครรภ์เช่นกัน

พอคิดถึงตรงนี้ นางราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ มองทางโหลชี ทนไม่ไหวถามขึ้น "จักรพรรดินีมีครรภ์รึ?"

โหลชียิ้มน้อยๆไม่ได้ตอบคำ แต่ก็ถือว่ายอมรับ

เป่ยสาวเย่าทนเก็บกักความริษยาของนางไม่ไหวอีกต่อไป นางพูดต่อว่า "บังเอิญจริง ข้าเองก็มีครรภ์เช่นกัน หมอหลวงและแม่นมในวังบอกแล้ว ช่วงสามเดือนแรกนี่มิเหมาะสมปรนนิบัติฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าจักรพรรดินีได้เตรียมสนมให้จักรพรรดิหรือไม่? อ้อจริงสิ จักรพรรดิต้าเซิ่งมิมีสนม ไม่สิ ช่วงเวลาพิเศษนี่นา หานางบำเรอเสียหลายคนคงมิเป็นไร ถ้าหากจักรพรรดินียังไม่ทันเลือกให้จักรพรรดิ ให้ข้าช่วยเลือกให้สักหลายคนดีหรือไม่? สตรีเป่ยชางเรางดงามนัก..."

ถึงเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่โหลชีมองเขาแล้วเข้าใจความรู้สึกในเวลานี้ของเขาขึ้นมาทันที นางเดินเข้าไป แนบตัวเองอิงหลังเขา โอบรอบคอเขา วางคางลงบนไหล่เขา "ทำไม องค์จักรพรรดิกำลังเป็นกังวลวิวเหล่านี้ ภูเขาลำธารตึกรามบ้านเรือนเหล่านี้ เมืองเหล่านี้จะถูกหมอกดำกลืนกินหมดใช่หรือไม่?"

เฉินซ่าดึงนางมาด้านหน้า กอดนางให้นั่งบนขาตน ดมกลิ่นผมของนางเข้าปอด พูดเสียงต่ำว่า "ข้ากังวลว่าไม่อาจจะกอดเจ้าได้อีก"

โหลชีเงียบไปครู่หนึ่ง พลางว่า "ไม่ต้องกังวลหรอก พวกเราไม่แน่จะไม่มีหนทาง"

"หนทาง?" เฉินซ่าลูบใบหน้านางแผ่วเบา เสียงอ่อนโยนขึ้นอย่างไม่รู้ตัว "ชีชี เจ้ารู้ไหมว่าข้าชอบอะไรในตัวเจ้าที่สุด?"

"รูปร่างเซ็กซี่? ใบหน้างามราวนางฟ้า?"

เขาหัวเราะแผ่วเบา "หน้าหนาเสียจริง" มีใครที่ไหนชมตนเองอย่างนี้บ้าง? ถึงจะเป็นความจริง และนี่ก็เป็นสองจุดที่เขาชอบนัก แต่ไม่ใช่จุดสำคัญที่สุด

"ข้าชอบเจ้าที่สุด...ตรงนี้" นิ้วมือของเขาจิ้มไปที่หน้าอกนางแผ่วเบา โหลชีพลันยกสองมือขึ้นกอดอกทันที เหล่มองเขา "ลามก"

"คิดอะไรน่ะ ข้าหมายถึงหัวใจของเจ้า หัวใจที่ครอบคลุมภูเขาลำธารตึกรามบ้านเรือนเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาของเจ้า หัวใจที่ไม่ยอมแพ้" เสียงสุขุมนุ่มลึกดังแผ่วเบาข้างหูนาง โหลชีรู้สึกฟึดฟัดที่จมูกในเวลานี้ นางซาบซึ้งกับคำพูดนี้ของเขา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนท้องมักจะอารมณ์อ่อนไหวหรือเปล่า

"ชีชี ข้าจะทุ่มเทเต็มกำลังคุ้มครองเจ้า คุ้มครองลูกของพวกเรา" มือของเฉินซ่าลูบท้องนางแผ่วเบา

เวลาที่เดิมควรจะมารักใคร่สนิทสนมกัน โหลชีกลับทนไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา พูดอย่างกระเซ้าว่า "จะเอานางบำเรอไหม?"

เฉินซ่าหน้าดำทะมึนลงทันที

เช้ามืดวันต่อมา นกพากันร้องปลุกทุกคนแล้ว

ด้านนอกตึกบุษบาพันธ์ ตู้เหวินฮุ่ยขึ้นม้าก่อน หันกลับไปมอง ในใจพลันรู้สึกภูมิใจ กลัว มีอันใดน่ากลัวกัน! จักรพรรดิจักรพรรดินี กษัตริย์สองรุ่นจากราชวงศ์ซวนหยวนแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหยิน ยังมีอาจารย์ของจักรพรรดินีล้วนอยู่กันหมด! จะหาขบวนใหญ่ขนาดนี้ได้ที่ไหน!

ถ้าพวกเขายังไร้หนทาง เช่นนั้น สามารถร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเขาได้ ชาตินี้เขาก็คุ้มแล้ว!

"ออกเดินทางได้"

เสียงใสกระจ่างของโหลชีดังขึ้น

"ขอรับ!"

ตู้เหวินฮุ่ยตะโกนดังว่า "ย่าส์!"

ทหารม้าสิบนายพุ่งทะยานออกไป ราษฎรในเมืองนั่วราต่างมองส่ง สายตานั้นเต็มไปด้วยความหวัง

มุมหนึ่งของตึกบุษบาพันธ์ เอ้อร์เวยที่แต่งกายเป็นชายก็พลิกร่างขึ้นม้า อ้อมหนึ่งรอบก่อนออกจากเมือง ไล่ตามพวกเขาไป

ให้โหลชีมีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อย!

ปริศยาหมอกดำ นางก็อยากแก้ไข! คนที่นางลำบากหามาครึ่งชีวิต ไม่แน่อาจจะเกี่ยวข้องกับหมอกดำเหล่านี้?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ