ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 649

พอออกจากเมือง ก็มุ่งหน้าไปทางเผ่าชักมังกร

โหลชีกับเฉินซ่าเคยไปครั้งหนึ่ง รู้ว่าเป็นทิศนี้

แต่ไปแค่เพียงสองชั่วยาม ตู้เหวินฮุ่ยก็หยุดลงและลงจากม้า

"ฝ่าบาท จักรพรรดินี ดูสิ อยู่ที่นี่ก็สามารถมองเห็นหมอกดำนั่นได้"

พวกโหลชีกับเฉินซ่ามองไปทางทิศที่เขาชี้ เห็นเพียงระหว่างเทือกเขาทับซ้อนกันนั้น มีสีดำเป็นแถบ อยู่ไกลมาก มองจากตรงนี้ไปก็เหมือนเมฆดำที่สอดแทรกระหว่างภูเขา

แต่อยู่ไกลขนาดนี้ยังมองเห็นได้ ถ้าเข้าไปใกล้ จะน่ากลัวขนาดไหน?

"ตู้เหวินฮุ่ย จากที่เจ้าดู หมอกดำนั่นมีขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นไหม?" โหลชีถาม

ตู้เหวินฮุ่ยส่ายหัวบอก "ไม่มี"

โหลชีสบตากับเฉินซ่า

"บางทีนี่อาจเป็นข่าวดี"

"บางทีสถานที่นั้นอาจจะมีอะไรสามารถควบคุมหมอกดำได้?" ซวนหยวนฮ่วนเทียนคาดเดา

การคาดเดานี้ทำให้ทุกคนรู้สึกมีเหตุผล สะเทือนจิตได้เลยทีเดียว

ถ้าเป็นอย่างนี้ แสดงว่าหมอกดำนั่นอาจจะควบคุมหรือทำลายได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ต้องเข้าไปดู ไปหาอย่างละเอียดหน่อย

"ฝ่าบาท หากเข้าใกล้จะอันตรายมาก..." ตู้เหวินฮุ่ยดูลังเล เขารู้ว่าจักรพรรดินีทรงพระครรภ์แล้ว ควรให้นางรออยู่ที่นี่ไหม?

เฉินซ่าเข้าใจความหมายของเขา พลางหันมองโหลชี

คำตอบที่ให้พวกเขาของโหลชีคือสองเท้าหนีบท้องม้าพร้อมเสียง "ย่าส์!"

เรื่องที่ตัดสินใจแล้ว จะมากลับคำที่นี่ไม่ได้สิ นางเชื่อมั่นในตัวเองอยู่ เรื่องแปลกประหลาดพวกนี้ นางเก่งกว่าพวกเขา ถ้านางไม่ไป จะได้เรื่องได้ไงกัน?

"ไปเถอะ" เฉินซ่าถอนหายใจ รีบตามไป

เสียงฝีเท้าม้าดังมาก

พอเข้าไปในภูเขายังมีเสียงสะท้อน ความว่างเปล่าที่ทำให้จิตใจคนหนักอึ้งพลันผุดขึ้นในใจ ไอชื้นยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ถนนสายนี้ได้เอนไปทางที่จะไปเผ่าชักมังกร ล้วนเป็นภูเขาทั้งหมด เอียงไปหน่อยก็อาจจะอ้อมเขาเสียลูกสองลูก

โหลชีเงยหน้าขึ้นมอง วันนี้ตอนออกมานางนึกว่าจะเป็นท้องฟ้าใส แต่ตอนนี้ดูแล้วท้องฟ้ากลับมืดครึ้มขึ้นมา

"คงไม่ใช่จะฝนตกหรอกนะ? นี่อยู่ในเขา อีกเดี๋ยวคงได้แต่ทิ้งม้าและลงเดิน ถ้าฝนตกหนัก การเดินทางจะอันตรายนัก" ตู้เหวินฮุ่ยเป็นคนที่กังวลมากที่สุดในที่นี้

เยว่กับเฉิงสิบกลับไม่ได้พูดอะไร พวกเขารู้ดีว่าจักรพรรดิจักรพรรดินีของตนนั้น เคยกลัวอันตรายอะไรที่ไหน? มีพายุฝนไหนที่พวกเขาเคยกลัวบ้าง พวกเขาแค่คอยอารักขาจักรพรรดินีให้ดีก็พอแล้ว

"บางทีอาจจะฝนตกหนัก หาที่หลบฝนกันก่อนเถอะ"

คำพูดนี้ของโหลชีทำให้ทุกคนพากันโล่งใจ

นางยอมไปหลบฝนน่ะดีที่สุดแล้ว แค่กลัวว่านางจะเร่งเดินทาง ตอนนี้นางไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว ยังไงพวกเขาก็เป็นห่วงอยู่

"แยกกันไปหา หาเจอที่เหมาะสมแล้วก็ส่งพลุสัญญาณ" เฉินซ่าออกคำสั่ง

ทุกคนรับคำ ควบม้าแยกกันไป

โหลชีถูกเฉินซ่ารวบลงม้าไปพักผ่อน

ซวนหยวนคงเดินเข้ามา มองดูท้องนางหนึ่งที พูดเสียงต่ำว่า "ข้าว่านะเสี่ยวชี เจ้าขี่ม้าแบบนี้ ไม่เป็นไรจริงรึ? เมื่อก่อนข้าดูละครมีฉากหนึ่งบอกแล้วว่า ตอนท้องห้ามขี่ม้านะ"

โหลชีเหล่เขาหนึ่งที "นักพรตเลว ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าดูรายการแบบนี้ด้วยหรอ?" "ก็ไม่ใช่เพราะเจ้ามาที่นี่ข้าอยู่คนเดียวก็เบื่อน่ะสิ เลยหยิบรีโมทมากดดูไปทั่ว ดูไปเรื่อยๆ ดูไปเรื่อยๆ" ซวนหยวนคงไม่มีทางยอมรับหรอกว่า เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงเวลาท้องต้องระวังเรื่องอะไรบ้าง

โหลชีกลับตบมือ ร้องไอ้หยาออกมา

"ทำไมรึ? ไม่สบายตรงไหนรึ?" ซวนหยวนคงตกใจมาก

"ไม่ใช่ นักพรตเลว ข้านึกขึ้นมาได้เรื่องคฤหาสน์หลังนั้นของข้าน่ะ ยังมีเงินเก็บของพวกเราอีก เจ้าว่าสิ ทนลำบากหาเงินมาหลายปี เก็บไว้อย่างนั้นไม่ได้ใช้เลย คิดแล้วก็ปวดใจจริงๆ"

ซวนหยวนคงหลุดหัวเราะพรืด

"โชคดีช่วงนั้นที่เจ้ามาน่ะข้าออกไปทานร้านอาหารทุกวัน ใช้เงินไปไม่น้อยเลย"

พรืด

โหลชีชี้หน้าเขา "เจ้า..." หน้าด้านจริง

"เอาล่ะเอาล่ะ เจ้าจะมาปวดใจอะไร เงินของเจ้าข้าเอาไปเปิดบัญชีฝากไว้ที่ธนาคารสวิส ห้องก็ฝากให้องค์กรจัดการอิสระอะไรมาทำความสะอาดดูแลเดือนละครั้ง ธนาคาน่ะจะโอนเงินให้พวกเขาเป็นระยะ ถ้าพวกเราได้กลับไปในตอนที่มีชีวิตอยู่ รับรองว่าเจ้าได้ใช้เงินแน่"

ทั้งสองคนกำลังคุยกัน ซวนหยวนจ้านแทรกเข้ามา ถามอย่างสงสัยว่า "คฤหาสน์อะไร? ธนาคารอะไร? เอาสิ เจ้าสาม ถือว่าเจ้าคุ้นเคยมีเรื่องคุยกับเสี่ยวชีใช่หรือไม่?"

ได้ยินน้ำเสียงบ่นกระปอดกระแปดของเขาแล้ว ซวนหยวนคงรีบใส่เกียร์หนีทันที

"เสี่ยวชี เรามาคุยกัน..." ซวนหยวนจ้านพึ่งจะดึงโหลชีจะมาคุยด้วย เสียงเฉิงสิบดังมาทันที "จักรพรรดินี ทางนี้มีถ้ำ"

เขาพึ่งพูดจบ ก็รู้สึกว่าสายตาคมดุจมีดของฮ่องเต้จ้านตวัดมาทางตนทันที ทำเอาเขาใจกระตุก ไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไร

ซวนหยวนจ้านแค่นเสียงหึ มองสำรวจเฉิงสิบ พูดเสียงเย็นว่า "เมื่อก่อนได้ยินลูกเขยข้าบอกว่า เฉิงสิบน่ารังเกียจที่สุด ข้ายังไม่เชื่อ ตอนนี้ดูแล้วเป็นจริงอย่างนั้น"

เฉิงสิบ "..."

สวรรค์

ฤดูใบไม้ผลิจะเป็นอย่างนี้ได้ยังไง?

ไม่ได้ยินเสียงนกร้อง ไม่ได้กลิ่นหอมของดอกไม้

หรือว่าที่นี่จะเป็นทุ่งหญ้าทางเหนือ? ไม่สิ ต่อให้เป็นทุ่งหญ้าทางเหนือ ก็ต้องมีหญ้าและวัวแพะสิ

พอมองไกลออกไป ภูเขาที่ห่างไกลก็เป็นสีเหลืองกร้านไปทั้งแถบ มีดำแซมเล็กน้อย

ท้องฟ้าดำมืด เมฆดำก่อตัว ความรู้สึกของฝนตกเบื้องหน้า บรรยากาศหนักอึ้ง บวกกับลาดต่ำแบบนี้ต่อหน้า ทำให้คนรู้สึกหนักอึ้งในใจ

อีกจุดที่ทำให้โหลชีรู้สึกตกใจระคนสงสัยคือ มันเหมือนจริงมากเลย หมอกดำเมื่อครู่เหมือนจริงมาก ภาพทิวทัศน์ที่เห็นตอนนี้ยิ่งเหมือนจริง ความรู้สึกเหมือนจริงที่ลมพัดพาละอองฝุ่นมาโดนหน้า ความหนักอึ้งในใจก็เหมือนจริง

เหมือนจริงไปหมด ไม่เหมือนอยู่ในฝัน

ตอนแรกโหลชีเดาว่าตนเองโดนใครใช้การควบคุมฝันอีกแล้วหรือเปล่า แต่พอคิดไปคิดมาก็เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีคนใช้การควบคุมฝันกับนางตอนนี้ นางไม่มีทางไม่รู้ ไม่ใช่เพราะนางหลงตัวเอง แต่นางพอมั่นใจในตัวเองอยู่

อีกข้อที่เป็นไปได้คือ ที่นี่มีอยู่จริง และนางก็เคยมาที่แห่งนี้ด้วย มีแต่เคยมาเท่านั้น เวลาฝันถึงจะสามารถทำให้เหมือนจริงได้ขนาดนี้

และจิตนางแข็งกว่าคนทั่วไปมากนัก ต่อให้ที่นี่เหมือนจริงขนาดนี้ แต่ก็ยังรู้ว่าตนเองกำลังฝันอยู่

นางเดินไปข้างหน้าต่อ เหมือนรู้ว่าต้องไปทางไหนยังไงยังงั้น

เดินไปได้ระยะหนึ่ง อ้อมภูเขาลูกเล็กไป นางก็เห็นเสาหินที่ตระหง่านตรงหน้า

ถึงจะเป็นทำจากก้อนหิน แต่ก็ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ก้อนหินทุกก้อนล้วนใหญ่มหึมานัก ด้านนอกเรียบลื่น และยังมีประกายแสงด้วย รอยแยกระหว่างก้อนหินชิดสนิทซะจนเส้นผมสักเส้นยังลอดเข้าไปไม่ได้

สไตส์การก่อสร้างแบบนี้ไม่เหมือนสมัยโบราณ และไม่เหมือนศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ทำให้นางรู้สึกแปลก ทั้งประหลาดแต่ก็คุ้นเคย

นางเดินเข้าไป บนแผ่นหินที่เรียบ มีแต่เสียงฝีเท้านางคนเดียว ไม่มีคนอื่น

ด้านหน้ามีเสาหินเสาหนึ่งที่สูงที่สุด ตัวเสามีบันไดหินยาวขดอยู่ ยาว ยาวมาก ไม่รู้เพราะอะไรนางยกเท้าขึ้นเดินไปโดยไม่รู้ตัว

บันไดหินยาวมาก หมุดขดเป็นวงขึ้นไป

เดินไปได้ครึ่งหนึ่ง นางได้ยินเสียงมีเมตตาเสียงหนึ่ง

"เจ้าหนูน้อยนี่ ของพวกนี้ข้าบอกห้ามแตะต้องก็ห้ามแตะต้อง ทำไมเจ้าดื้ออย่างนี้นี่?"

"ฮืมๆๆ เล่น"

เสียงเด็กหญิงที่วัยกระเตาะเสียงหนึ่งดังตามมา เหมือนกำลังกระเง้ากระงอด

สมองโหลชีแทบระเบิดออกมา เหมือนมีประตูความทรงจำอะไรบางอย่างระเบิดออก ความทรงจำทั้งหมดที่ปิดอยู่ได้ระเบิดออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ