ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 78

ถ้าหากประสบกับฝนตกหรือต้องพักค้างคืนกลางแจ้ง รถม้านี้ก็จะเป็นสถานที่ที่มีไว้ให้เฉินซ่ากับโหลชีได้นอนหลับ ข้างในกว้างขวางมาก เพราะว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ด้านในปูฟูกหนาๆ ตรงกลางเคลื่อนที่ได้ สามารถดึงโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่วางลง รถม้าทั้งคันก็จะเป็นเตียงขนาดใหญ่ แม้ว่าเฉินซ่าจะตัวสูงใหญ่แบบนี้ ก็เพียงพอที่จะให้เขาพลิกตัวไปมาในขณะที่กำลังนอนราบได้

ภายในรถยังมีช่องลับหลากหลายประเภท และเอ้อร์หลิงได้ยัดอาหาร ของใช้ และเสื้อผ้าเข้าไปจนเต็มช่องลับเหล่านั้นแล้ว ส่วนโหลชีก็ขอให้หมอเทวดาเตรียมสิ่งของมากมายให้เธอตามรายการที่นางเขียนเช่นกัน

สิ่งของเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเอง ขอเพียงแค่เอ่ยปากขึ้นมาก็มีแล้ว ช่างรู้สึกสดชื่นมากจริงๆ

ตอนที่ออกมา โหลชียังคงตื้อเฉินซ่าอยู่ จนในที่สุดเขาก็มอบถุงเงินหนึ่งถุงและถั่วทองหนึ่งถุงแก่นาง และยังมอบธนบัตรพันตำลึงให้นางอีกสองสามใบ ทันใดนั้นเองก็ทำให้โหลชีรู้สึกว่าตัวเองได้กลับมาร่ำรวยอีกครั้งแล้ว

เพียงแต่ตอนที่พวกเขามาถึงโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง คนเดินทางกลุ่มหนึ่งกินอิ่มดื่มพอแล้ว และม้าก็กินหญ้าแห้งอิ่มแล้วเช่นกัน องครักษ์เยว่จึงขอให้นางจ่ายเงิน เธอก็รู้สึกประหลาดใจอย่างหนักเหมือนถูกฟ้าผ่าเข้าแล้ว

"ทำไมข้าต้องจ่าย ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องเป็นคนจ่ายรึ?" นางกำถุงเงินเอาไว้ในขณะที่กำลังจ้องมององครักษ์เยว่

ถ้านี่คือองครักษ์อิง ก็คงจะโต้เถียงและทะเลาะกับนางขึ้นมาแล้ว แต่องครักษ์เยว่กลับอธิบายอย่างใจเย็นมากว่า "นายท่านไม่ได้ให้เจ้าดูแลเรื่องเงินหรอกรึ?"

"......"นั่นไม่ใช่เงินที่ให้นางเอาไว้ใช้ส่วนตัวหรอกหรือ?

โหลชีอยากจะร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา ในที่สุดนางก็ยอมรับชะตากรรมแล้วโยนเงินเหล่านั้นให้องครักษ์เยว่ ส่วนตัวเองก็เพียงแค่แอบหยิบถั่วทองหนึ่งกำมือแล้วซ่อนเอาไว้ ก็เอาเถอะ เก็บเล็กผสมน้อยจนกลายเป็นมาก ถ้าหากต่อจากนี้ไปนางใช้ถั่วทองนี้อย่างประหยัดอีกสักนิด ก็น่าจะอยู่ในโรงเตี๊ยมหนึ่งหรือสองเดือนและกินอีกสองเดือนก็ยังได้เลย

ทุ่งน้ำแข็ง ออกมาจากพั่วอวี้ก็ต้องเดินไปทางเหนือ ว่ากันว่าอยู่ใกล้กับเป่ยชางมาก และเมื่อผ่านทุ่งน้ำแข็งไปก็จะเป็นเมืองเมืองหนึ่งของเป่ยชาง

"องค์หญิงทั้งสองแห่งเป่ยชางก็จากไปเช่นนี้แล้ว นายท่านไม่รู้สึกเสียดายบ้างหรือเจ้าคะ?" เมื่อสามวันก่อน องค์หญิงทั้งสองแห่งเป่ยชางได้เดินทางกลับไปเป่ยชางแล้ว ผลการพิจารณาครั้งสุดท้ายของเป่ยฝูหรงคือการยอมแพ้ ในฐานะเจ้าหญิงของแคว้นพระองค์หนึ่ง นางไม่อาจละทิ้งสถานะลง แล้วมาอยู่เคียงข้างเสินซาเพียงเท่านั้นได้ และนี่คือสิ่งที่อยู่ในการคาดการณ์ของเฉินซ่าเช่นเดียวกัน

"เจ้าว่าอะไรนะ?" ในขณะที่เฉินซ่ากำลังพูดอยู่สายตาก็จ้องมองไปที่ริมฝีปากสีแดงของนาง

แล้วโหลชีจึงเงียบไปในทันที

ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกเขาจูบจนเป็นลมไป ตอนนี้นางกลัวเขาไปหมดแล้ว ถ้าผู้ชายคนนี้มีอารมณ์คึกคักขึ้นมา เขาสามารถจูบนางจนปากบวมไปครึ่งวันได้เลย ต่อหน้าองครักษ์เหล่านี้ นางยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้

นางไม่อยากถูกใครบางคนจูบจนริมฝีปากบวมในขณะที่ถูกพวกเขาจ้องมองนางด้วยสายตาที่เลื่อมใสศรัทธา

ตงสือยู่ออกเดินทางไปเร็วกว่าองค์หญิงทั้งสองแห่งเป่ยชาง ตอนที่เขาจากไปเขายังเชื้อเชิญโหลชีด้วยความจริงใจ ว่าหากนางมีเวลาจะต้องไปเปิดหูเปิดตาดูขนบธรรมเนียมและน้ำใจไมตรีของผู้คนในตงชิงที่แคว้นตงชิงให้ได้นะ

แต่โหลชีกลับคิดว่า ขนบธรรมเนียมและของตงชิงอาจจะมีความสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมของสมัยโบราณที่เธอรู้จักมากที่สุด มีโอกาส นางจะต้องไปดูอย่างแน่นอน

พวกเขาเดินทางติดต่อกันเกือบสิบวัน ด้วยกลัวว่าคนอื่นที่ได้รับข่าวนี้จะรีบไปที่ทุ่งน้ำแข็งด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะหยุดพักทำอะไรเยอะแยะ และเร่งรีบไปตลอดทาง มีเพียงแต่ตอนที่พบเจอเมืองสักเมืองจึงจะเข้าพักในโรงเตี๊ยม ไม่อย่างนั้นก็จะได้นอนค้างคืนกลางแจ้งกันหมด

แต่นอนว่า ในขณะที่คนอื่นๆนอนอยู่กลางแจ้งโหลชีก็ตามเฉินซ่าไปนอนในรถม้า บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่า รถม้านี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาต้องการนอนโอบกอดแขนนางทุกคืน จึงนำรถม้าคันนี้มาก็ได้ ถึงอย่างไรเสีย เมื่ออยู่ต่อหน้าองครักษ์ มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะสนิทสนมกับเธอ

ยิ่งเดินทางไปทางเหนือ อากาศก็ยิ่งเย็นขึ้นเรื่อยๆ

บ่ายวันนี้ สีของท้องฟ้ามืดครึ้มตลอดเวลา เหมือนกับว่าฝนจะตกหนัก ไม่สะดวกที่จะพักค้างคืนกลางแจ้ง แต่ทว่าพวกเขาเร่งรีบไปตลอดทาง จนกระทั่งถึงยามพลบค่ำก็ยังมองไม่เห็นเมืองหรือหมู่บ้านเล็กๆ แม้แต่บ้านที่ผู้คนอาศัยอยู่ก็ไม่พบเจอเลยสักหลัง

เมฆฝนสะสมรวมกันจนมากพอสมควรแล้ว จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงฝนตกใหญ่ห่าหนึ่งได้

ฝนในยามค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วงนั้นหนาวเย็นมาก แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนุ่มสาวที่มีวิชากังฟูอยู่กับตัว แต่พอโดนฝนสาดในตอนกลางคืนก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่ป่วยและเป็นไข้ อีกประการหนึ่ง ถ้าพวกองครักษ์เปียกฝน เฉินซ่าก็ไม่สามารถนอนหลับสบายอยู่ในรถม้าได้เช่นกัน

"เฉิงสิบ เจ้าไปสำรวจดูอีกทีซิ"

"ขอรับ"

เฉิงสิบควบม้าห้อตะบึงออกไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนคนอื่นๆก็รีบออกเดินทางต่อไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉิงสิบก็กลับมาอย่างดีอกดีใจ "ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ครึ่งทางขึ้นเขาด้านหน้ามีวัดอยู่วัดหนึ่งขอรับ!"

"ไป!"

ฝนกำลังจะตก และเมฆดำที่หนาทึบปกคลุมอยู่เหนือศีรษะจนดำมืดไปหมด ดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดกำลังจะออกมา ในสายตาของโหลชีมันเหมือนกับจุดจบของโลกในภาพยนตร์ไซไฟหรือภาพยนตร์ภัยพิบัติอย่างไรอย่างนั้น

พอควบม้าไปจนถึงด้านล่างของภูเขาลูกนั้น องครักษ์เยว่ก็เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วสีหน้าของเขาก็ไม่สู้ดีเล็กน้อย

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่ เป็นอะไรไปขอรับ?"

"เขาลูกนี้......" เขาลูกนี้ จะพูดอย่างไรดีล่ะ มันแปลกประหลาดอยู่นิดนึงนะ

โหลชีก็เงยหน้าขึ้นไปเช่นกัน แล้วเม้มริมฝีปาก เขาลูกนี้มีความแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่โชคดีที่องครักษ์เยว่มองออกแล้ว ดีมาก ดีมาก ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดอะไรมาก ถ้าเกิดได้สร้างความดีความชอบขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ?

ในขณะที่นางกำลังคิดเช่นนี้อยู่ ผลปรากฏว่า เฉินซ่าก็ได้พูดขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า "โหลชี ขึ้นไปบนเขา หรือว่าเจ้าจะไม่ขึ้น?"

โหลชีเกือบจะตกลงไปจากหลังม้า ในขณะที่เยว่กำลังมองนางอยู่ก็หัวเราะขึ้นมาในทันที "โหลชี ตอนนี้เจ้าประหม่ามากเกินไปแล้วนะ" เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนี้มาก่อน ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าคงอดใจรอที่จะรีบไปสร้างความดีความชอบไม่ไหวแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า นางเอาแต่คิดว่าจะหลักหนีการสร้างความดีความชอบอย่างไร

"นายท่าน ข้าพูดได้แต่เพียงว่า เขาลูกนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดอยู่บ้างจริงๆ ท่านดูสิ ด้านนี้เห็นได้ชัดว่าคือทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่มีหญ้าต้นเล็กเกิดขึ้นมาเลย ทว่าอีกด้านหนึ่งของภูเขาเห็นได้ชัดว่าคือทางทิศเหนือ กลับอุดมไปด้วยต้นหญ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ก็เป็นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว บนเขายังมีดอกไม่นานาชนิดบานสะพรั่ง ต้นไม้ก็ยังอิ่มเอิบไปด้วยสีเขียวขจี นี่มันขัดต่อกฎแห่งธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัดเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ?"

บ้างก็กำลังหาห้องครัวเตรียมต้มน้ำ

บ้างก็หาเชิงเทียนดีๆมาจุดไฟ

"ใต้เท้าองครักษ์เยว่ ตรวจสอบบริเวณโดยรอบแล้ว ไม่พบใครเลยขอรับ ฝุ่นก็เต็มไปหมด ราวกับว่าไม่มีใครอาศัยอยู่มาเป็นเวลานาน" องครักษ์ที่ไปสำรวจกลับมารายงาน แล้วองครักษ์เยว่ก็โบกมือไปมาเพื่อให้เขาลงไป

เขามองไปที่โหลชีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า "โหลชีเจ้าว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่ลางสังหรณ์ของเราทั้งสองคนจะผิดพลาดในเวลาเดียวกัน?"

โหลชียักไหล่ไปมาโดยที่ไม่ตอบคำถามเขา องครักษ์เยว่ก็ดูเหมือนจะไม่ต้องการให้นางตอบคำถามเช่นกัน จึงหันหลังไปจัดที่สำหรับหลับนอนในตอนกลางคืน

แม้ว่าวัดที่ว่างเปล่านี้จะไม่เล็ก และมีห้องว่างมากมาย แต่ทว่าในตอนกลางคืนพวกเขาจะต้องพักห้องเดียวกันทั้งหมด เผื่อเอาไว้ ดั่งที่เฉินซ่าได้พูดไว้ว่า ถ้าหากตากฝนนี้ทั้งคืน นั่นก็ไม่ดีไปกว่าการได้ต่อสู้กับคนอื่นจริงๆ ฝนห่านี้ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ค่ำคืนที่มืดมิดคืบคลานเข้ามา พร้อมกับพายุฝน ทำให้ค่ำคืนในภูเขาที่รกร้างแห่งนี้ดูทุกข์ยากและหนาวเหน็บมาก

โหลชีกำลังนั่งเท้าแก้มทั้งสองข้างดูและฟังเสียงฝนในยามค่ำคืนอยู่บนธรณีประตูของอุโบสถ แล้วก็กำลังรอพวกเขาต้มซุปเนื้อแห้งที่ร้อนผ่าวหม้อหนึ่งอยู่เช่นกัน เสียงฝนตกปรอยๆก็ไพเราะมาก แต่ในขณะที่ฟังอยู่นั้น ก็ดูเหมือนว่านางจะได้ยินเสียงอื่นใดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเสียงลมและฝน

ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก แงแงแง

พอนางสงบใจลงและตั้งใจฟังชัดๆ เสียงนี้ก็เลยยากที่จะหลบซ่อนอีกต่อไป

ฟังดูแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงของใครบางคนกำลังสวมรองเท้าแตะขนาดใหญ่เดินกลับไปกลับมา คลุกเคล้ากับเสียงร้องไห้เหมือนเด็กผู้หญิง

แต่ก่อนหน้านี้บรรดาองครักษ์ก็เคยสำรวจภายในวันนี้อย่างละเอียดแล้ว แล้วบอกว่าไม่พบใครเลยสักคน ถ้าอย่างนั้น เสียงนี้ดังขึ้นมาจากที่ไหนกันแน่?

เธอมองย้อนกลับไปที่วิหารใหญ่ ซึ่งเฉินซ่ากำลังนั่งเขียนตัวอักษรอย่างรวดเร็วอยู่หน้าโต๊ะบรรณาการ แม้ว่าเขาจะออกเดินทางมาแล้ว แต่เขายังต้องจัดการธุระในพั่วอวี้อยู่บ้าง ทุกๆห้าวัน อิง ก็จะเขียนจดหมายมาหา ซึ่งนกพิราบส่งสาส์นที่พวกเขาฝึกสามารถติดตามตำแหน่งของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ

ส่วนองครักษ์เยว่ไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว

โหลชีหลับตาลง อยากจะลองฟังเสียงนั้นดูอีกสักครั้งว่าแท้ที่จริงแล้วมันดังมาจากที่ไหนกันแน่ แต่ทันใดนั้นเสียงนั้นกลับไม่มีแล้ว นางไม่ยอมตัดใจ จึงรอคอยต่อไปเรื่อยๆ แต่ทว่าจนกระทั่งองครักษ์นำอาหารมาให้ นางก็ยังไม่ได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมาอีกเลย โหลชีอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าจริงๆแล้วนางเคยมีอาการหูฝาดมาก่อนหรือไม่

"มารับประทานอาหารสิ" เฉินซ่าเรียกนาง

นางยืนขึ้นมา แล้วตอบกลับไปว่า "มาแล้วเจ้าค่ะ" นางหันหลังกลับแล้วก้าวเข้าไปในวิหารใหญ่ นางไม่ทันได้เห็นว่า หลังจากที่นางลุกขึ้น จู่ๆก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากช่องเล็กๆที่อยู่ใต้ธรณีประตูที่นางนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ไม่นานก็มีน้ำฝนถูกลมพัดเข้ามาเจือจางรอยเลือดเล็กน้อยนั้นเสียแล้ว

ในระหว่างที่กำลังรีบออกเดินทางแบบนี้ ยังสามารถรับประทานอาหารร้อนๆได้โดยไม่ได้เข้าพักในโรงเตี๊ยม นี่ช่างเป็นค่าตอบแทนที่ดีมากเลย แต่พอเฉินซ่าดื่มซุปเนื้อแห้งเสร็จแล้วสองสามคำ ก็กินแป้งย่างอีกสองชิ้น แล้วยังพูดกับนางว่า "ติดตามข้ามาลำบากแล้ว วันหลังจะชดใช้ให้เจ้านะ"

ทันทีที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ โหลชีก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเล็กน้อย และตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่นางจะพบว่า เมื่อสักครู่นี้นางกำลังคิดเรื่องเสียงนั้นอยู่ตลอดเวลา ดื่มซุปก็ดื่มด้วยสีหน้าท่าทางที่หงิกงอเล็กน้อย เขายังนึกว่านางกำลังเมินเฉยต่อซุปเนื้อแห้งชามนี้และแป้งย่างที่แห้งผากนั่นเสียอีก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ