ใต้ร่มยาใจ นิยาย บท 99

นางได้เรียนรู้ประสบกาณ์ความรู้ใหม่จริงๆ แต่คนอื่นๆก็ได้เรียนรู้ประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆเช่นกัน เคยเห็นคนที่ทำให้คนอื่นโกรธ แต่ไม่เคยเห็นคนที่โกรธง่ายขนาดนี้มาก่อน!

หมอหลวงก็น่าสงสารเช่นกัน กำลังยุ่งอยู่กับการทายาและพันแผลให้เสิ่นเมิ่งจวิน และยังต้องฉีดยาให้จิ่งหยาวอีกด้วย เป็นผลให้นางฟื้นขึ้นทันทีหลังจากที่ถูกฉีดยา และก็ตบไปที่ใบหน้าเขาทันที ตบจนรู้สึกหน้ามืดตามัว

"ออกไป" ถึงแม้ว่าตงสือเหวินจะรำคาญ แต่เขาก็ต้องพึ่งพาสำนักปี้เซียนดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทนกับจิ่งหยาว

หมอหลวงจับใบหน้าตัวเองแล้วก้าวถอยหลังออกไป

ในที่สุดที่นี่ก็เงียบไปซักพัก

จิ่งหยาวจ้องเขม็งไปที่โหลชี แม้แต่ศิษย์พี่หญิงของตัวเองยังถูกนางตัดหูทิ้ง ดังนั้นจิ่งหยาวจึงไม่กล้าแสดงท่าทีวู่วาม โหลชีมองมาที่นาง และครุ่นคิดทันใดนั้นก็พูด "แม่นางจิ่งมาทุ่งน้ำแข็ง ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ? แม่นางเสิ่นเป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้า แล้วนางเคยพูดถึงข้าไหม?"

หัวใจของจิ่งหยาวเต้นผิดจังหวะ เดิมทีดวงตาที่จ้องเขม็งมาที่นางก็เริ่มตาลอยขึ้นเล็กน้อย การเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนดังกล่าวจะสามารถหลบหนีสายตาของโหลชีผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษได้อย่างไร และตอนนี้ก็รู้และเข้าใจ คนที่เอาปัญหาเหล่านี้มาโยนให้นาง ต้องเป็นฝีมือของจิ่งหยาวแน่นอน

แต่ไม่เป็นไร นางจะต้องคิดบัญชีเรื่องนี้กับพวกนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนแน่นอน ยังมีตงสือเหวิน อย่าคิดว่านางจะปล่อยเขาไป นางเป็นคนที่ใจคับแคบชอบเคียดแค้น ไม่ใช่คนใจกว้างขนาดนั้น

"แม่นางโหลยังไม่ได้ตอบคำถามของข้าที่ถามเมื่อกี้นี้" ตงสือยู่พูด

"เจ้าบอกว่ามีวิธีทดสอบคนที่เคยสัมผัสไขหินพันปีไม่ใช่เหรอ?" โหลชีเลิกคิ้ว

"จริงเหรอ ขอบอกแม่นางโหลตามตรงว่า เมื่อไม่นานนี้ข้าเพิ่งเข้าไปในทุ่งน้ำแข็ง และได้ยินมาว่า ไขหินพันปีนั้นมีคนเอาไปแล้ว เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ตามข่าวลือ รูปลักษณ์เช่นนั้นก็เหมือนแม่นางโหล"

"ข้าไม่ได้เอา"

"อืม แม่นางโหลบอกว่าไม่ได้เอา และบอกว่าแม่นางเสิ่นได้เอาไขหินพันปีไป ถ้างั้นก็ขอให้แม่นางโหลทดสอบ พิสูจน์ให้พวกเราดูได้ไหม?" ขณะที่ตงสือยู่พูดตงสือเหวินจะไม่พูด ดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างจะเชื่อฟังคำพูดของตงสือยู่

"ได้สิ นี่มันไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ว่า ถ้าข้าพิสูจน์ตัวเองแล้ว ไท่จื่อกับองค์ชายรองจะช่วยข้าลบล้างประวัติจากการเป็นผู้ต้องสงสัยได้ไหม?"

ตงสือยู่พยักหน้า "แน่นอนอยู่แล้ว"

โหลชีพูดว่า "ก็ดี จริงๆแล้วเรื่องนี้มันง่ายมาก ในเมื่อไขหินพันปีมีผลประโยชน์มากขนาดนั้น มันหมายความว่าข้างในต้องมีสารจำนวนมาก บางที มันอาจจะมีพลังงานมากมาย และมันจะไม่สลายไปอย่างง่ายดาย ข้าคิดว่า กระบวนการในขณะที่กำลังเก็บไขหินพันปี มือของบุคคลนั้นจะต้องสัมผัสกับมันไม่มากก็น้อย ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกับไขหินพันปีโดยตรง แค่สัมผัสกับแท่นหินที่มีไขหินพันปีอยู่ ก็จะมีสารที่คล้ายคลึงกัน ยังไงไขหินพันปีก็ผลิตออกมาจากแท่นหินนั้น และต้องมีส่วนผสมที่เหมือนกัน" นางหยุดนิ่งและถามว่า "ข้าพูดเช่นนี้พวกเจ้าเข้าใจไหม?"

ตงสือเหวินเอียงศีรษะเล็กน้อยและไม่ตอบ ตงสือยู่พยักหน้าอีกครั้ง "ฟังเข้าใจ แม่นางโหลพูดต่อ"

"ดังนั้นขอเพียงใช้มือแช่ลงไปในน้ำใสสะอาด ก็สามารถแยกสารนั้นออกได้ ซึ่งหมายความว่าสารเหล่านั้นจะไหลลงน้ำ และทำให้สีของน้ำเปลี่ยนไปนิดหน่อย เพราะแค่สามวัน สารเหล่านั้นก็คงไม่ได้หายไปง่ายขนาดนั้น ดังนั้น มือของใครที่แช่ลงไปในน้ำแล้วน้ำเปลี่ยนสี แสดงว่าคนคนนั้นเคยสัมผัสไขหินพันปีหรือเคยสัมผัสแท่นหิน เช่นนี้แล้ว พวกเจ้าคงจะเข้าใจใช่ไหม?"

"น้ำจะกลายเป็นสีอะไร?" ตงสือยู่ถามอย่างอ่อนโยน "มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดหรือไม่? ไขหินพันปีเป็นสีขาวขุ่นไม่ใช่หรือ?

"อืม ดังนั้นสีที่ออกมาก็ขาวนิดหน่อย สามารถใช้น้ำไหใหญ่ แล้วแบ่งมันออกเป็นหลายๆชาม แล้วให้คนหลายๆมาลองทำดู" โหลชีพูด "และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคำครหา ของเหล่านี้ต้องให้คนขององค์ชายเป็นคนจัดการหามา ข้าจะไม่เข้าใกล้ไหใบนั้น"

"ดี ถ้างั้นมาลองดู ทหาร" ตงสือยู่เหลือบมองตงสือเหวิน ตงสือเหวินรีบสั่งการลงไปทันที และเรียกยามมาสองสามคน

ลองก็ลอง ตอนนี้ มีคนเอาไหที่ล้างสะอาดมา แล้วเทน้ำลงไปในไหแล้ววางลงบนโต๊ะ "ข้ามาแบ่งเอง"

ในขณะนี้ตงสือเหวินพูดขึ้นมาทันที

ตงสือยู่ก็ตอบตกลง

ตงสือเหวินจัดเรียงชามใหญ่หลายใบด้วยตัวเอง จากนั้นก็ตรวจสอบน้ำในไห แล้วแบ่งเทลงในชามใหญ่สิบใบ มันเป็นน้ำใสจริงๆ และดูไม่ออกว่าสีอะไร แต่เขาก็ยังเรียกยามมาหนึ่งคน "เจ้าจิบน้ำนิดหนึ่ง"

ยามคนนั้นก็ไม่ลังเลเลย หยิบชามใบหนึ่งขึ้นมา จิบไปนิดหนึ่ง แล้วถอยหลัง

หลังจากรอเป็นเวลานาน ไม่พบปัญหาใดๆ ตอนนี้ตงสือเหวินจึงเรียกยามทั้งแปดคนมา และในขณะเดียวกันก็ให้เอามือจุ่มลงในชามใหญ่นั้นต่อหน้าเขา

โหลชีก็ก้าวไปข้างหน้า และแช่มือของตัวเองลงในน้ำใส

เสิ่นเมิ่งจวินแสร้งทำเป็นว่านางยังไม่ตื่น แต่ตงสือยู่ก็เรียกนาง "แม่นางเสิ่นก็นั่งลงเถอะ ให้เสด็จน้องยกน้ำไปให้แม่นางเสิ่นด้วยตัวเอง"

ตงสือเหวินไม่ได้พูดอะไรมาก และรีบยกชามใหญ่นั้น เดินไปหาเสิ่นเมิ่งจวินทันที เมื่อสักครู่เสิ่นเมิ่งจวินได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว และได้ยินคำพูดของโหลชีอย่างคลุมเครือ แม้ว่านางจะไม่ค่อยเชื่อวิธีการของโหลชี แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะ? นางรู้สึกหวาดกลัวในความผิด และอยากจะรีบผลักเรื่องนี้ออกไปให้พ้น

นางมองไปที่ตงสือเหวินอย่างอ่อนแอ ดวงตามีน้ำตา ดูมีน้ำเปียกชื้น ท่าทางน่าสงสารมาก บวกกับเมื่อสักครู่เสียเลือดมากเกินไป ในตอนนี้ใบหน้าซีดเซียว และทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกช่างน่าสมเพชจริงๆ

แต่ทันทีที่ตงสือเหวินเห็นพันผ้าพันแผลที่พันหูของนางไว้ แล้วเห็นใบหน้าที่ยังไม่หายบวม นั่นมันเป็นรอยนิ้วมือสองสามรอยบนใบหน้าที่ซีดเซียว น่าสมเพชเช่นนี้ ทันใดนั้นมันได้ลบล้างความสงสารที่เคยมีให้นาง หากในอนาคตเขาได้ขึ้นครองราชย์ ถ้ามีฮองเฮาที่ขาดหูไปข้างหนึ่ง นั่นมันคงจะทำให้คนทั้งโลกหัวเราะจนบ้าได้หรือไม่? ตงสือเหวิน

สีหน้าพวกเขาทั้งหมดเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ท่าทางโหลชียังคงดูผ่อนคลายมาก มือยังแช่อยู่ในน้ำ และพูดอย่างเฉยเมย "ได้สิ ถ้านางไม่มีปัญหาจริงๆ ถ้างั้นข้าจะฆ่าตัวตายต่อหน้านาง"

นางถึงกับกล้าตกลง! นางกล้าตกลงจริงๆ!

สายตาที่ตงสือเหวินมองเสิ่นเมิ่งจวินไม่เหมือนเดิม นางถึงกับกล้าตกลง ข้อตกลงเช่นนี้ หมายความว่าตัวนางไม่หวาดกลัวกับความผิดสักนิดเลยเหรอ?

เสิ่นเมิ่งจวินแอบด่าจิ่งหยาว นางทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยนางเลย แต่กลับเป็นการบีบบังคับให้นางไปถึงทางตัน! ถ้าตอนนี้นางไม่ตกลง แสดงว่ามีปัญหาจริงๆ

"ขอรบกวนองค์ชาย ข้าไม่ได้ทำอะไร จะกลัวกับความผิดได้อย่างไร" ขณะที่พูด นางเอามือทั้งสองข้างแช่ลงไปในไหใหญ่ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลกระทบทางจิตใจของนางหรือเปล่า ตอนที่มือของนางเพิ่งแตะโดนน้ำ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามือทั้งสองข้างชาเล็กน้อย

หลังจากผ่านไปประมาณสิบห้านาที โหลชีและยามอีกแปดคนก็เอาดึงมือกลับ และปล่อยให้ตงสือยู่และตงสือเหวินมองดูชามน้ำใสๆ ทั้งเก้าใบอย่างละเอียด และไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย!

"ไท่จื่อ หาคนลากม้ามาสิบตัวมา ตรงนี้น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอย่างม้าเท่านั้น" โหลชีเหลือบมองเวลาที่ยังไม่ถึง และเสิ่นเมิ่งจวินที่มือยังแช่อยู่ในชาม และบริเวณหน้าผากของนางมีเหงื่อเม็ดเล็กไหลออกมา

"เจ้าจะลากม้ามาเพื่ออะไร?" ตงสือเหวินอดไม่ได้ที่จะถาม

"อยากลองดูว่าน้ำนี้มีความเปลี่ยนแปลงไหม แค่มองด้วยตาเปล่าก็มองไม่เห็นอะไรเลยใช่ไหม?" โหลชีพูด

ตงสือยู่ให้คนไปจูงม้ามา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็จูงม้าสิบตัวเข้ามา ม้าศึก ทั้งสง่าและน่าเกรงขามล้วนเป็นม้าชั้นหนึ่ง

พวกเขาทั้งหมดออกจากกระโจม และในตอนนี้เสิ่นเมิ่งจวินก็ดึงมือออกจากน้ำ น้ำชามนั้นของนาง จิ่งหยาวเป็นคนยกออกมา และไม่ได้ให้คนอื่นทำแทน

"ไปดูน้ำชามของของแม่นางเสิ่น" โหลชีเลิกคิ้ว

เมื่อครู่นี้ เสิ่นเมิ่งจวินเห็นว่าน้ำในชามไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็เลยโล่งใจ แต่นางคงไม่รู้หรอกว่า หากเป็นเพียงสีขาวขุ่นที่จางมาก ไม่มีที่เปรียบเทียบก็ไม่รู้ตำหนิ ก็จะถูกสายตามองข้ามไปโดยง่าย จิ่งหยาวไม่ได้มองดูน้ำของคนอื่น ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนางมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ

แต่ตอนนี้ให้ตงสือยู่และตงสือเหวินไปดู พวกเขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ใต้ร่มยาใจ