บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 111

เย่จายซิงมองไปยังนางเสิ่นอย่างไม่สะทกสะท้าน

ไม่ได้ลดละการเกลียดชังและการเอาคืนที่แวบเข้ามาในดวงตาของนางเลย จากนั้นนางเสิ่นก็แสดงท่าทีที่เสียใจและรู้สึกผิดออกมา แล้วหันไปพูดกับสองพี่น้องว่า

“จายซิง ยู่หยาง เป็นเพราะพี่สะใภ้รองเองที่ไม่ดี เป็นเพราะพี่สะใภ้รองที่หน้ามืดตามัว จากนี้เป็นต้นไปพี่สะใภ้รองจะดีกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน จะปฏิบัติราวกับว่าพวกเจ้าเป็นลูกแท้ๆ เลย พวกเจ้าให้อภัยพี่สะใภ้รองด้วยเถิด”

“แค่นี้เองเหรอ?”

ดวงตาของเย่จายซิงเย็นชา และพูดจาเย้ยหยันว่า

“พี่สะใภ้รองแค่ขอโทษเพียงเท่านี้ มันช่างไม่มีความจริงใจเอาซะเลย ข้าบอกแล้วว่าหากท่านคุกเข่าลงยอมรับผิด พวกเราก็จะเชื่อในความจริงใจของท่านและให้อภัยท่าน หากท่านทำไม่ได้ งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรจะต้องพูดกันแล้ว”

“เจ้า!จายซิง ยังไงตอนนี้พี่สะใภ้รองก็เป็นนายหญิงที่ดูแลหลังเรือนจวนแม่ทัพทั้งหลังนี้ เจ้าให้ข้าคุกเข่าขอโทษพวกเจ้าต่อหน้าคนรับใช้มากมายเช่นนี้ หลังจากนี้จะให้พี่สะใภ้รองเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”

เสียงของนางเสิ่นเบาลง สายตาแฝงไว้ด้วยความอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร

หากเป็นคนอื่นย่อมใจอ่อนอย่างแน่นอน แต่แววตาของเย่จายซิงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย “ช่างเถอะ เสี่ยวยู่ พวกเรากลับไปในที่ของพวกเรากันเถอะ”

ในขณะพูดอยู่ก็ยกเท้าพร้อมที่จะเดิน

“ช้าก่อนๆ !”

นางเสิ่นกำหมัดแน่น รีบตามขึ้นไป แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าของนางและเย่ยู่หยางด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

“ขอโทษด้วย เป็นพี่สะใภ้รองที่ผิดเอง ตอนนั้นพี่สะใภ้รองไม่ควรกลั่นแกล้งพวกเจ้า ตอนนี้พี่สะใภ้รองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก พวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ เอะอะโวยวายก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่แค่ไมม่คิดแค้นต่อกันก็เพียงพอ พวกเราตระกูลเย่ถึงจะดีขึ้นมาได้”

เย่ยู่หยางมองนางเสิ่นอยู่ นางก้มหน้าอยู่ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตา แต่เขามั่นใจว่านางอสรพิษร้ายผู้นี้ก็แค่แสร้งทำเท่านั้น คนที่รักหน้าตาอย่างนางยอมที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าของคนอื่นที่มากมายเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่นางร้องขอนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาหันหน้าไป เดิมทีกลัวว่าท่านพี่จะถูกนางเสิ่นทำให้หน้ามืดตามัว แต่สีหน้าท่ทางของท่านพี่เป็นเหมือนเดิม ท่าทีที่จะให้อภัยนางเสิ่นอย่างจริงจังนั้นหาไม่ได้เลย เขายิ้มที่มุมปากและก็วางใจได้แล้ว

ท่านพี่ไม่ใช่เป็นอย่างเมื่อก่อนนี้นานแล้ว

นางเสิ่นร้องไห้โทษตัวเองสารพัดอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าก็เห็นพวกเขาพี่น้องสองคนและคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณตรงนั้นมีแววตาที่ราวกับว่ากำลังดูการแสดงละครก็ไม่ปาน ในใจของนางโมโหเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าตนเองนั้นถูกกลั่นแกล้ง

และตอนนี้เองเย่จายซิงก็ยิ้มเยาะขึ้นมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มละมุนว่า

“ความจริงใจของพี่สะใภ้รองข้ารับรู้แล้ว รีบลุกขึ้นมาเถอะ ไปเถอะ เสี่ยวยู่ พวกเราไปลองชิมฝีมือของพี่สะใภ้รองกัน โตมาปานนี้แล้วยังไม่เคยได้กินอาหารที่พี่สะใภ้รองทำเลยสักครั้งหนึ่ง”

เย่จายซิงหมุนเปลี่ยนทิศทางกลับมาอีกด้านหนึ่ง แล้วเดินไปที่โถงรับอาหารที่กินข้าวพร้อมกับเสี่ยวยู่

ภายใต้การพยุงของหญิงรับใช้นางเสิ่นก็ลุกขึ้นมา บนหน้าของนางเต็มไปด้วยสีหน้าแห่งความอัปยศ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อหมดแล้ว

“พวกเจ้าหากใครเอาเรื่องนี้พูดออกไป ข้าจะถลกหนังของพวกเจ้าให้หมด”

สายตาของนางมุ่งไปทางทุกคนที่อยู่ในลานตรงนั้น เพื่อเตือนให้พวกเขาอย่าเอาเรื่องที่นางคุกเข่าลงต่อหน้าเย่จายซิงสองพี่น้องพูดออกไป

นางเสิ่นหยิกผ้าเช็ดหน้าแล้วตามออกไป ระหว่างนั้นในใจก็ยังก่นด่าสองคนนั้นอยู่

“ก็แค่ให้เดรัจฉานอย่างพวกเจ้าสองคนได้ใจไปก่อนสักประเดี๋ยว อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าอยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเลย!”

แค่พริบตาเดียวก็มาถึงยังโถงรับประทานอาหาร เย่จายซิงมองเข้าไปด้านในชั่วครู่ แล้วยิ้มที่มุมปาก

“โอ้ว มันนี้พร้อมหน้าพร้อมตากันเช่นนี้เลยนะ แม้แต่ท่านอาสามและท่านน้าสามก็มาร่วมโต๊ะด้วย ดูๆ ไปแล้วก็แสดงว่าของล้ำค่าหาเจอแล้วงั้นสิ?”

“เย่จายซิง!เป็นเจ้า......”

นางโจวยืนขึ้นมาด้วยท่าทางดุร้าย คำพูดยังพูดไม่ออกมาหมดก็ถูกเย่เจ๋อบูที่อยู่ด้านข้างห้ามเอาไว้

เย่เจ๋อบูส่งซิกสายตาให้นาง นางโจวกัดริมฝีปากอย่างอักอั้นแล้วนั่งลง

“นี่ท่านน้าสามเป็นอะไรไปหรือ? จะพูดว่าข้าทำไมหรือ ทำไมท่านอาสามไม่ให้นางพูดให้จบล่ะ?”

เย่จายซิงหัวเราะเบาๆ ในใจกลับรู้อย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว

นางไม่สะทกสะท้าน พาเสี่ยวยู่มานั่งลงตรงที่นั่งที่ยังว่างอยู่

“ไม่มีอะไรๆ ท่านน้าสามของเจ้านานแล้วไม่ได้พบเจ้า ก็ตื่นเต้นไปหน่อยแค่นั้นเอง” เย่เจ๋อบูกล่าว

“น้องสี่ ท่านย่าอยู่ตรงนี้ ทำไมเจ้าถึงไม้คารวะล่ะ?”

เย่เจียหยูไต่ถามอย่างฝืนยิ้ม

“ไม่ใช่ว่ากินข้าวร่วมตระกูลเดียวกันหรือ มีความจำเป็นต้องมากพิธีรีตองขนาดนั้นเลยหรือ? หากจำเป็นจะต้องคารวะจริงๆ ละก็ ก็ต้องเป็นพวกเจ้าต่างหากที่คารวะข้าถึงจะถูก ข้าเป็นถึงพระชายาอ๋องเซ่อเจิ้งในอนาคตเชียวนะ”

เย่จายซิงพูดออกมาอย่างจงใจ

เขาผิดหวังอย่างสุดขีดต่อคนอื่นๆ ของตระกูลเย่มาตั้งนานแล้ว แล้วจะไปให้โอกาสพวกเขามาทำร้ายตนและท่านพี่ได้อย่างไรกัน?

แม้แต่การปรองดองที่เห็นภายนอกเขาก็ไม่อยากจะรักษาไว้

“งั้นก็เอาน้ำชาแทนเหล้าละกัน!”

ฮูหยินเฒ่าเอ่ยขึ้น

หญิงรับใช้ยกกาน้ำชามา แล้วเทน้ำชาใส่ในถ้วยชาของพวกเขา

สายตาของผู้คนทั้งหมดต่างจับจ้องอยู่บนมือของหญิงรับใช้

รอนางเทเสร็จ เย่จายซิงก็รับกาน้ำชาข้ามมือมาจากหญิงรับใช้แล้วลุกขึ้นยืน

“พี่ใหญ่พูดได้ไม่ผิด พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ช่วงระยะเวลานี้เนื่องจากเมื่อก่อนมีเรื่องไม่สบายใจข้าล่วงเกินท่านผู้อาวุโสไว้มาก ข้าจะเติมเต็มให้ทุกคนด้วยตัวข้าเอง พวกเราดื่มน้ำชาแทนเหล้าหนึ่งถ้วย แล้วให้เรื่องของเมื่อก่อนหายกันไปเลย”

เพราะว่าคำพูดนี้ ทุกคนก็ไม่มีรั้งเขาไว้ อีกอย่างนอกจากถ้วยของนางและเย่ยู่หยางที่มีพิษ ของคนอื่นต่างก็ไม่มีพิษเลย

ในใจของทุกคนนั้นห้ามไม่ได้ที่จะได้ใจอยู่บ้าง ดูเข้าสิ นางถูกเกลี้ยกล่อมได้อย่างง่ายดาย ก็แค่กีบเท้าเล็กๆ ที่ไม่ได้เจอโลกภายนอกก็แค่นั้นเอง

เย่จายซิงเติมน้ำชาให้ทุกคนจนเต็มอย่างรวดเร็ว

เย่เจียหรงจ้องมองไปยังมือของนางตลอดเวลา เห็นว่านางไม่ได้ตุกติกอะไร ก็รู้แล้วว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว

“มา ข้าและเสี่ยวยู่ดื่มก่อนเลย”

ขณะที่พูดอยู่ เย่จายซิงยกถ้วยน้ำชาที่อยู่ตรงหน้าของนางขึ้นมาแล้วดื่มชาเข้าไปหมดจอดทั้งคำ

เย่ยู่หยางก็ดื่มไปหนึ่งคำเช่นกัน

ทุกคนเป็นประจักษ์พยาน ฮูหยินเฒ่าเป็นผู้นำ ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาออกมาก่อนอันดับแรก แม้แต่ดื่มนางก็ไม่ได้ดื่มเลย แค่ยกถ้วยขึ้นมาเท่านั้น เพราะนางกังวลว่าเย่จายซิงจะวางยาพิษ

“ท่านย่า ท่านอารอง ท่านอาสาม ทำไมพวกท่านไม่ดื่มกันล่ะ?”

เย่จายซิงแสร้งทำเป็นถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา