เย่จายซิงลุกขึ้นยืน เตรียมจะออกไปพบองค์หญิงหลิวอิ๋ง
โม่เสิ่นยวนยืนมือดึงให้นางนั่งลง:
“ไม่ต้องรีบ กินโจ๊กให้หมดก่อน ปล่อยนางสูดอากาศสักครู่”
หลิวอิ๋งมีนิสัยบกพร่องอย่างหนัก ถูกเลี้ยงตามใจจนมีนิสัยที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ ไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา และถูกยั่วโมโหง่าย
ให้นางรอนานขึ้นอีกหน่อย ก็ยิ่งจะทำให้นางฉุนเฉียว
พอคนเราถูกครอบงำด้วยอารมณ์โกรธมากๆ ก็จะสูญเสียความระมัดระวังตัวเหมือนกันหมด
หลิวอิ๋งมาแล้วทั้งที โอกาสดีๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าไม่อาจปล่อยให้หลุดมือ
“อืมๆ เช่นนั้นก็ให้นางรออีกหน่อยก็ได้”
เย่จายซิงจึงนั่งลงอย่างองอาจ พยักหน้าแล้วกินโจ๊กในชามอย่างสบายอารมณ์
พู่เทพแต่ละต้นในห้วงกาลเวลาออกดอกออกผลกันถ้วนหน้า เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย อาหารหลักทุกวันนี้ของนางมาจากพู่เทพทั้งนั้น
ตอนแรกพู่เทพเพิ่มวรยุทธให้นางมากโข ทว่ารอบนี้กลับไม่ได้ผลมากเช่นนั้นแล้ว แต่ก็ยังสามารถแฝงข้อดีมาให้ร่างกายของนางไม่น้อย
อย่างเช่น เส้นลมปราณและจุดตันเถียนขยายตัวจนสามารถกักเก็บพลังทิพย์ได้มากขึ้น สามารถส่งทะเลจิตออกไปได้ไกลทำให้จิตตื่นรู้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น รากทิพย์แข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ความสามารถในการบำเพ็ญเพียรแก่กล้าขึ้น และอีกมากมาย
นางยังให้เสด็จอามากินข้าวด้วยทุกวัน อย่างน้อยพู่เทพก็เพิ่มอายุขัยและแก่นชี่ขึ้นมาได้อีกหน่อย
นอกจากนี้นางยังส่งพู่เทพไปให้น้องชาย ไป๋จู๋ว เหยียนเฟิงและลั่วกูหยุนอีกด้วย
กินพู่เทพครั้งแรก จะนำมาซึ่งประโยชน์มากมาย
เหมือนน้องชายที่กินแล้วก็ปลีกวิเวกไปเลย รอเขาออกมา วรยุทธจะต้องเพิ่มขึ้นมากแน่นอน
เมื่อกินโจ๊กเสร็จอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งสองก็พูดคุยกันสักพัก ถึงจับมือกัน เดินเยื้องย่างออกไปด้านนอก
ตอนที่หลิวอิ๋งถูกปล่อยให้สูดกลิ่นธูปโขมงอยู่หน้าประตู ในใจก็แค้นจนไม่อาจทนได้
เสด็จพี่ต้องถูกหญิงนางนั้นจงใจรั้งเอาไว้แน่ๆ เย่จายซิงไม่อยากให้เสด็จพี่ออกมาพบนาง
แม้เย่จายซิงจะโฉมงามเพียงใด ฐานะก็ยังห่างชั้นกับตนมากนัก ต้องนึกน้อยเนื้อต่ำใจ ไม่กล้าเผชิญหน้ากับผู้ที่เจิดจรัสอย่างนางเป็นแน่
ใช่ ไม่ผิดหรอก เป็นเช่นนี้แน่
คำอธิบายเช่นนี้ทำให้นางใจชื้นขึ้นมาเปราะหนึ่ง
แต่เมื่อนางเห็นเสด็จพี่กับเย่จายซิงเดินจูงมือกันออกมา ใจก็แตกสลาย แวววิปริตฉายวูบผ่านดวงตา
“เสด็จพี่!! เหตุใดท่านถึงให้ข้ารอข้างนอกนานเพียงนี้? เย่จายซิงจงใจขวางท่าน ไม่ให้มาพบข้าใช่หรือไม่?”
นางกัดริมฝีปาก เอ่ยอย่างเดือดดาล
“เจ้ารบกวนเวลาทานอาหารเช้าของเรา”
โม่เสิ่นยวนมองนางราบเรียบ
หลิวอิ๋งเบิกตาโต “เสด็จพี่ ท่านหมายความว่า ข้าไม่สำคัญเท่าอาหารเช้างั้นหรือ?”
เพื่อกินอาหารเช้า จึงให้นางตากลมอยู่ข้างนอก ก็เลยเชิญนางให้เข้าไปก่อนไม่ได้อย่างนั้นหรือ
เสด็จพี่กลายเป็นคนใจร้ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร!
“สรุปว่าเจ้ามีเรื่องอันใด”
โม่เสิ่นยวนเอ่ยเสียงไม่ยี่หระ แววตาเย็นเฉียบ
หลิวอิ๋งใจเจ็บแปลบในทันที สุดท้ายเสด็จพี่ก็เปลี่ยนใจแล้ว เขาถึงขั้นไม่ชายตาแลอาภรณ์ของนางเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นเป็นชุดตอนที่นางและเขาพบกันครั้งแรกเชียวนะ
ไม่ใช่ว่าตอนนั้นเขามองเราหลายต่อหลายครั้งหรอกหรือ?
ทำไมตอนนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้?
นางบีบนิ้วมือแน่น แล้วกัดปากเอ่ยว่า:
“เสด็จพี่ ข้ามาทวงของของข้าคืน!”
ผู้คนโดยรอบที่ทำทีเป็นเดินผ่านไปมาหูผึ่งทันใด เปลวไฟสอดรู้สอดเห็นในใจแทบจะไหม้ลามทุ่ง
“หม่อมฉันไม่ยักรู้ ว่าที่หอไป๋เป่าของพวกเรามีสิ่งใดที่เป็นขององค์หญิงด้วย”
เย่จายซิงเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาสีดำสดใสเจือแววเยาะเย้ย
“เฮอะ! เจ้าแย่งอสูรเทพของข้าไปตอนอยู่แดนเหนือ เจ้ายังมีหน้ามาพูดกับข้าอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ วันนี้
เย่จายซิงพูดไม่ออกยิ่งนัก หลิวอิ๋งผู้นี้ คิดว่าทุกสิ่งในใต้หล้าหมุนรอบตัวนางจริงๆ
นางไม่อยากเสียเวลากับเรื่องนี้แล้ว จึงเรียกเทาเที่ยออกมาทันที
ทันใดนั้นทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงปะทะอันทรงพลัง จากนั้นก็เห็นอสูรเทพขนสีดำวาวตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงหน้าของเย่จายซิง
อสูรเทพตัวนี้องอาจยิ่งนัก หลังกว้างเท่าเสือเอวหนาเท่าหมี บนหัวมีเขาอันน่าเกรงขามงอกออกมาห้าเขา ลักษณะดุร้ายมาก ยังมีดวงตาสีแดงฉานขนาดใหญ่ และปากกว้างที่แยกเขี้ยวขึ้น เผยให้เห็นฟันอันแหลมคม
“นี่มันอสูรเทพอะไรเนี่ย ตาเถร!”
อัปลักษณ์ยิ่งนัก!
“เจ้าตัวน้อยหน้าตามีเอกลักษณ์ยิ่งนัก”
ขี้เหร่เป็นเอกลักษณ์
ทุกคนไม่รู้เลยว่า มีอสูรเทพอัปลักษณ์เช่นนี้ด้วย
แต่มองแวบแรกก็ดูดุร้ายและทรงพลังมาก เป็นตัวช่วยในการต่อสู้ที่ดีอย่างหนึ่งเลย!
ก็นี่มันอสูรเทพนี่น่า!
ฉับพลันนั้นเอง ทุกคนเห็นอสูรเทพขยับตัว ก็หันหน้าหนีไปทันที กรงเล็บทั้งสองกอดขาของเย่จายซิงไว้ คล้ายกับกำลังออดอ้อน หัวอันมหึมาถูไถอยู่บนตัวนาง
นี่….
เสียภาพลักษณ์หมด!
แล้วที่บอกว่าดุร้ายทรงพลังเล่า?
เย่จายซิง: ……
เจ้าเทาเที่ยทึ่มตัวนี้ การตื่นขึ้นมาจากสภาวะหลับใหล ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย หากแต่มันสมองไม่พัฒนาเลยสักนิด!
โม่เสิ่นยวนขมวดคิ้ว ตบเจ้าเทาเที่ยออกจากตัวของเย่จายซิงจนกระเด็นออกไป
“อะฮึ่ม!”
เย่จายซิงกลั้วคอไปมา พูดกับหลิวอิ๋งที่ดวงตาแดงก่ำด้วยความริษยาเหลือแสนว่า:
“องค์หญิง ในเมื่อท่านกล่าวเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอสูรเทพเป็นของท่าน หม่อมฉันก็จะถอนพันธะกับมันตอนนี้ แล้วดูว่ามันจะยอมรับท่านเป็นนายหรือไม่ ดีหรือไม่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...