บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 274

“แต่ตอนนี้ฮองเฮาจะต้องมีความระแวดระวังตัวเป็นแน่ การฆ่ากู่จะไม่ง่ายขนาดนั้นแน่นอน”

เย่จายซิงค้ำคาง ขบคิดถึงระดับความยากของปัญหา

“เริ่มลงมือจากหลิวอิ๋งก่อน”

โม่เสิ่นยวนเอ่ย:

“กู่ที่ฮองเฮาฝังใส่เสด็จพ่อ น่าจะเป็นที่พวกเขารู้จักกันนานแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีหลิวอิ๋งหลังจากหลิวอิ๋งเกิด หากอยากได้รับความรักจากเสด็จพ่อ ฮองเฮาก็ต้องฝังลูกกู่ในร่างของนางด้วย พวกเขาสามคนพ่อแม่ลูกถึงจะผูกพันกลมเกลียว”

ดังนั้น ฆ่ากู่ของหลิวอิ๋งดีที่สุด

“ขอแค่ลูกกู่ในร่างของหลิวอิ๋งตาย ความสัมพันธ์นี้ก็จะถูกตัดขาด แม้จะยังมีพิษกู่ที่เชื่อมกันอยู่เล็กน้อย แต่ความรักที่เสด็จพ่อมีต่อหลิวอิ๋งจะไม่มากเท่าเมื่อก่อน ถึงตอนนั้น ฮองเฮาก็จะกระวนกระวายใจแล้ว”

เย่จายซิงฟังพร้อมพยักหน้าตามเป็นระยะ

“เช่นนั้นก็ดีนัก นางก็ได้แต่อาศัยความรักใคร่จากฮ่องเต้และฮองเฮา หม่อมฉันอยากเห็นเสียจริง หากนางไม่มีความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้แล้ว จะเป็นอย่างไร”

นางสะใจเล็กน้อย

นางผู้นี้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นมาก ตอนที่หลิวอิ๋งฆ่านางกำนัลแล้วพยายามใส่ร้ายนาง หากนางไม่ไหวตัวทันก่อน อาจปล่อยให้หลิวอิ๋งทำสำเร็จจริงๆ ถึงตอนนั้นร้านปิดไปแล้ว ไม่แน่ว่าแค่ชีวิตน้อยๆ ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้

หลิวอิ๋งจะต้องเกลียดเรามากแน่ๆ คิดว่าเราแย่งอสูรเทพของนางไป

อีกอย่างหลิวอิ๋งก็เป็นปฏิปักษ์กับนางมาตั้งแต่แรก ทว่าตอนนั้นตนไม่ได้ไปยั่วโมโหนางเลย

สรุปคือ หากเห็นหลิวอิ๋งพังพินาศ นางจะดีใจยิ่ง ถึงตอนนั้นอาจจะแทะเมล็ดแตงโมพลางดูฉากสนุกๆ ไปด้วยก็ได้

โม่เสิ่นยวนหยิกแก้มนางเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า:

“เผ่าปีศาจถูกฆ่าตายหมดแล้ว นางก็ต้องกลับมาเฉินตู ถึงตอนนั้นนางจะต้องมาหาเรื่องเจ้าเพราะเรื่องอสูรเทพเป็นแน่ น้องซิงก็ฉวยโอกาสฆ่าลูกกู่ในร่างของนางเลยสิ”

นางพยักหน้าแรงๆ :

“ได้เพคะ ไม่มีปัญหา หม่อมฉันจะศึกษากู่ภิรมย์รักนี้ล่วงหน้าให้ดีๆ รอนางมาเยือนถึงหน้าบ้าน ก็จะจัดการนางฉึบฉับเสีย”

โม่เสิ่นยวนยิ้มอ่อน แล้วบอกความรู้มากมายเกี่ยวกับกู่พิษให้นางฟัง

เขาได้รับความทรมานจากราชากู่หลายปี เพื่อเอาชีวิตรอด ตอนนั้นจึงเรียนรู้พิษกู่ทั้งหมดของเผ่าโฮ่วานโดยพื้นฐานไปรอบหนึ่งแล้ว

ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้จักชนิดกู่ของเผ่าโฮ่วานมากกว่าคนในเผ่าโฮ่วานบางคนเสียอีก

……

ตอนหลิวอิ๋งกลับมาเฉินตู ก็ห้าวันให้หลังแล้ว

ตอนจะหยุดยั้งเผ่าปีศาจไม่ให้ใช้ค่ายวาร์ปไปยังเมืองอื่น หลังจากปีศาจออกอาละวาด เหล่าผู้ฝึกตนจึงทำลายค่ายวาร์ปทิ้งไป

การกลับจากแดนเหนือ โดยไม่มีค่ายวาร์ป เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่ไกลแสนไกล

หลังจากเผ่าปีศาจถูกฆ่าล้างจนหมด เพื่อจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด นางจึงใช้คัมภีร์วาร์ป

แต่กลับไม่คิดว่าคัมภีร์วาร์ปจะเสียหาย ทะยานมาได้ครึ่งทางก็ร่วงลงมาจากกลางเวหา

ต่อมานางจึงขี่จิตภัณฑ์เหาะกลับมาด้วยความเร็วสูงสุด กระนั้นก็ยังใช้เวลาถึงห้าวัน

ในขณะที่หรงจิ่งเฉินตระกูลขุนนางสันโดษ เจ้าสำนักกุยหยวนและคนอื่นๆ ซึ่งออกตัวช้ากว่านาง กลับมาถึงก่อนนางหนึ่งวัน

ตระกูลหรงมีวิชาทะยานลับเคล็ดวาร์ปมาแต่แรก ไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายวาร์ปขนาดใหญ่ วิ่งผ่านอากาศหลายครั้ง ก็กลับมายังเฉินตูได้แล้ว

หลิวอิ๋งที่ได้ยินข่าวนี้โมโหจนแทบอกแตกตาย

หากรู้ว่าตระกูลหรงมีความสามารถนี้แต่แรก นางก็คงกลับมาเฉินตูพร้อมพวกเขาแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้หลิวอิ๋งเคืองใจยิ่งกว่าคือ หลังจากหรงจิ่งเฉินกลับมายังเฉินตู กลับว่าร้ายนางต่อหน้าธารกำนัล บอกว่านางไร้ความสามารถในการเป็นผู้นำของสมาคมผู้ฝึกตน หลายครั้งที่ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากถูกเผ่าปีศาจฆ่าตาย เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของนาง

ยังบอกอีกว่านางรักตัวกลัวตาย ตอนกำลังฆ่าเผ่าปีศาจ ก็ให้ผู้ฝึกตนคนสนิทมาบังดาบให้นาง

ตอนร่ายค่ายกลสังหารใหญ่ ก็บอกว่านางออกความเห็นคัดค้าน หากนางไม่ขัดขวาง ค่ายกลสังหารอาจสำเร็จไปนานแล้ว

“ทำข้าโมโหยิ่งนัก!หรงจิ่งเฉินผู้นี้ มันสมควรตาย!”

หลิวอิ๋งปัดแจกันดอกไม้หล่นแตกลงบนพื้นยกแถว

เหล่านี้เป็นข่าวที่นางกลับวังแล้วถึงได้รู้

ตอนที่นางเขามาในเฉินตู ก็พบว่าสายตาที่ทุกคนมองนางดูผิดแปลกไป ไม่มีคววามเคารพเลยสักนิด

เมื่อเห็นชาวบ้านต่ำช้าเหล่านี้มองนางเช่นนี้ ตอนนางขี่อสูรศักดิ์สิทธิ์กลับไปยังวังเทว ก็เลยเตะแผงขายของกระเด็นไปไม่น้อย

“ไม่ได้ ข้าจะต้องไปพบเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ ให้เสด็จพ่อช่วยแก้ต่างให้ข้า ว่าคำพูดเหล่านี้เป็นหรงจิ่งเฉินที่ให้ร้ายข้า!”

หลิวอิ๋งรีบร้อนไปพบเสด็จพ่อและเสด็จแม่โดยไม่ได้ล้างเนื้อล้างตัว

เมื่อฮ่องเต้ได้ข่าวว่านางกลับวังแล้ว ก็ดีใจยิ่งนัก หลิวอิ๋งคือธิดาที่เขารักมากที่สุด ไม่เจอนานถึงเพียงนี้ คิดถึงเหลือเกิน

เขาจึงสั่งให้คนไปทำสำรับและขนมอบที่นางชอบกินโดยเฉพาะ

“เสด็จพ่อเพคะ หรงจิ่งเฉินผู้นั้นมีความแค้นกับหยิงเอ๋อร์ เขาเลยจงใจหมายหัวหยิงเอ๋อร์ พูดให้ร้ายหยิงเอ๋อร์เช่นนั้น”

หลิวอิ๋งดึงมือฮ่องเต้ พร้อมเอ่ยอย่างออดอ้อน

ฮองเฮาถามนางว่า: “เหตุใดนายน้อยหรงผู้นั้นถึงมีความแค้นกับเจ้า? หยิงเอ๋อร์ เจ้าอยู่ข้างนอก จะเอาแต่ใจไม่ได้นะ”

“หยิงเอ๋อร์ไม่ใช่คนประเภทนั้น หรงจิ่งเฉินผู้นั้นจะต้องมีปัญหาแน่ๆ”

ฮ่องเต้กล่าว แน่นอนว่าเขาอยู่ข้างธิดาสุดที่รักอยู่แล้ว

เมื่อวานเขาเรียกหรงจิ่งเฉินกับเจ้าสำนักกุยหยวนและคนอื่นๆ มาเข้าเฝ้า แสดงความขอบคุณที่เสียสละเพื่อใต้หล้า แต่เจ้าหนุ่มนั่น กลับพูดว่าคนที่เขาควรขอบคุณกลับไม่ขอบคุณ เอ่ยวาจากระด้างกระเดื่อง ทำให้เขาไม่ชอบใจ

“หรืออาจเป็นเพราะเย่จายซิง หรงจิ่งเฉินผู้นี้ คนที่เขาโปรดปรานคือเย่จายซิงเพคะ เย่จายซิงแย่งอสูรเทพของลูกไป ลูกย่อมไม่ชอบนางแน่นอน ดังนั้นหรงจิ่งเฉินจึงจงใจเพ่งเล็งลูกเพคะ!”

หลิวอิ๋งบุ้ยปากเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ

“เย่จายซิงอีกแล้ว! เหตุใดถึงมีแต่นางไปเสียทุกที่?”

ฮ่องเต้สีหน้าขรึมลง เย่จายซิงสามคำนี้ ทำให้ทุกวันนี้พอเขาได้ยินก็รู้สึกเอือมระอา

หลิวอิ๋งไม่คิดว่าเสด็จพ่อจะเกลียดชังเย่จายซิงเพียงนี้ จึงนึกดีใจ แล้วถามอย่างใคร่รู้ว่า:

แต่นางรู้ว่า นับตั้งแต่ตอนที่นางพบเสด็จพี่ครั้งแรก นางก็อยากจะอยู่ใกล้เขา อยากจะตัวติดคุยกับเขา อยากให้เขาพานางไปเที่ยวเล่น

แต่เสด็จแม่ไม่ให้ตนติดต่อกับเขา ไม่เช่นนั้นตอนพบเสด็จพี่ของตนครั้งแรก อายุคงไม่ปาไปสิบกว่าปีแล้วหรอก

อีกทั้งเสด็จพี่ก็หมางเมินนางเหลือเกิน ไม่เคยพูดกับนางสักคำเดียว

นางนึกวาเสด็จพี่ไม่ชอบนาง เกลียดชังนาง

จนกระทั่งนางเก็บกระดาษที่เขียนกลอนรักหลายแผ่นนั้นได้

ตอนนั้นนางรู้สึกคลุมเครือ ว่าเสด็จพี่ของนางอาจมีความรู้สึกต้องห้ามบางอย่างกับนาง

ต่อมา ทุกครั้งที่นางเจอเสด็จพี่ มักจะหน้าแดงใจเต้นอยู่เนิ่นนาน

เพียงแต่คล้ายกับเสด็จพี่หลบหน้านาง นานๆ ทีจะได้พบหน้าเขาสักครั้ง

“เสด็จพี่ ท่านเปลี่ยนใจแล้วจริงๆ หรือ?”

นางขยำกระดาษในมืออย่างแรง ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียมจนดูบ้าคลั่ง

ใช่ เขาต้องเปลี่ยนใจแล้วแน่ๆ

เห็นๆ อยู่ว่าคนที่เขาชอบคือเรา แต่หลังจากที่เขาได้พบกับเย่จายซิง ก็เปลี่ยนใจ ทำไมเขาถึงเป็นคนโลเลเพียงนี้?

เขาถึงขั้นพูดต่อหน้าธารกำนัลว่าเราหยาบคายเกินทน เพราะเย่จายซิง

ตอนที่นางได้ยินคำนี้ หัวใจของนางเหมือนถูกคนเขวี้ยงลงบนพื้นแล้วเหยียบย่ำอย่างบ้าคลั่ง

ทุกอย่างต้องโทษเย่จายซิง! เย่จายซิงมันคือภูตจิ้งจอก ภูตจิ้งจอกที่ชำนาญเรื่องยั่วยวนคน!

“ขอแค่เย่จายซิงตายไป เสด็จพี่จะต้องเปลี่ยนใจกลับมาแน่”

หลิวอิ๋งเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นเยือก ก่อนเก็บกลอนรักเอาไว้ แต่คราวนี้นางไมได้วางไว้ใต้เตียงแล้ว หากเก็บไว้ในแหวนมิติแทน

บางทีหากเสด็จพี่เห็นกระดาษเหล่านี้ อาจจำความรักที่มีต่อนางในตอนนั้นขึ้นมาได้

“เสด็จพี่ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะบอกความลับหนึ่งกับท่าน ให้ท่านรู้ว่าระหว่างเรา ไม่มีรักต้องห้ามจริงๆ แต่อย่างใด ท่านสามารถพึงใจต่อข้า และอยู่เคียงข้างข้าได้อย่างไม่ต้องกังวล”

พูดจบ นางก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น นางอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ก็แต่งกายงดงามชดช้อย สวมชุดที่เจอกับเสด็จพี่เป็นครั้งแรก ก่อนจะควบม้าออกจากวังไปที่หอไป๋เป่า

พอคิดว่าเสด็จพี่กับนังภูตจิ้งจอกนั่นอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้ว ในใจของหลิวอิ๋งก็รู้สึกริษยาชิงชังอย่างไม่อาจหักห้าม

“คุณหนู! องค์หญิงหลิวอิ๋งเสด็จหอไป๋เป่าแล้ว ตรัสว่าต้องการพบท่านกับเซ่าตี้เจ้าค่ะ!”

ไป๋จู๋วยืนพูดกับคนด้านในอยู่หน้าประตู

เย่จายซิงและโม่เสิ่นยวนกำลังกินโจ๊กกันอยู่ในห้องอาหาร

ได้ยินดังนั้น มุมปากของเย่จายซิงก็ยกโค้งขึ้น

“มาไวจริงเชียว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา