บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 281

แม่นมหลานจะออกจากวังทุกวันที่เจ็ดของเดือน

นางไม่ได้ออกจากวังเพื่อตัวเอง หากแต่เพื่อไปสักการะพ่อหมอแทนฮองเฮา

พ่อมดเป็นเทพที่เผ่าโฮ่วานเลื่อมใส แต่ไม่อาจสร้างศาลกราบไหว้ไว้ในวังได้ ฮองเฮาเองก็ออกนอกวังตามอำเภอใจไม่ได้ จึงเป็นเหตุให้แม่นมหลานต้องออกจากวังไปกราบไหว้แทนนางทุกวันที่เจ็ดของเดือน

มีวิหารแห่งหนึ่งถูกสร้างบนเขาไป๋หยุนบริเวณชานเมืองเฉินตู และสิ่งที่สถิตอยู่ในนั้นก็คือเทวรูปของพ่อมด

เมื่อแสงอรุณแรกสาดส่อง รถเสลี่ยงที่ไม่สะดุดตาคันหนึ่งก็เคลื่อนตัวออกจากวัง ค่อยๆ มุ่งหน้าไปยังเขาไป๋หยุน

เมืองเฉินตูกว้างใหญ่มาก จากวังไปยังเชิงเขาไป๋หยุนที่อยู่นอกเมือง ใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะไปถึง

แม่นมหลานเดินลงจากรถเสลี่ยง ในมือถือดอกบัวสีแดงหนึ่งดอก แล้วเดินขึ้นบันไดที่ทอดขึ้นสู่เขาด้วยใบหน้าศรัทธา

……

เมื่อมองดูบันไดอันคดเคี้ยวที่ทอดยาวไปถึงเชิงเขา มีถึงหลายพันขั้น รอจนแม่นมหลานเดินขึ้นไป อย่างน้อยก็ใช้เวลาสองชั่วยาม

เย่จายซิงนั่งหาววอดอยู่บนยอดเขา ซบศีรษะบนไหล่ของเสด็จอา แล้วผล็อยหลับไป

เมื่อคืนฝึกบำเพ็ญในห้วงกาลเวลาทั้งคืน ระยะเวลาสิบกว่าวันในห้วงกาลเวลา ไม่ได้พักเลยแม้แต่วินาทีเดียว เวลานี้ไม่ว่าจะจิตใจหรือร่างกาย นางล้วนอ่อนเพลียเมื่อยล้า

"เข้าไปนอนในห้วงกาลเวลาเถิด หากนางมาแล้วข้าจะเรียกเจ้า"

โม่เสิ่นยวนนัยน์ตาลุ่มลึกอ่อนโยน ตบไหล่ของนางเบาๆ

"หม่อมฉันอยากนอนซบเสด็จอา งีบสักเดี๋ยวก็กลับมาสดชื่นแล้ว"

นางกอดแขนข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ แสดงออกถึงความใกล้ชิดของตนที่มีต่อเขา

เขายกมุมปากโค้งขึ้น นัยน์ตาลุ่มลึกฉายแววหลงใหลทะนุถนอม ในใจเปี่ยมล้นด้วยความเสน่หา ยังเจือความพึงพอใจเล็กน้อยอีกด้วย

น้องซิงใส่ใจเขา เพียงเท่านี้ ก็ทำให้เขาสุขใจได้เนิ่นนานแล้ว

ตอนที่ผูกรักสมัครใคร่ และเข้าใจว่าความรักคืออะไรเป็นครั้งแรก เขาไม่คิดเลยว่าจะได้รับคำตอบจากน้องซิงรวดเร็วเพียงนี้ ในตอนนั้น เขาคิดเอาแต่ใจไปว่าต่อให้นางจะชอบหรือไม่ชอบเขา นางก็เป็นคนของเขา เป็นดวงใจของเขาทั้งในชาติก่อนและชาตินี้อยู่ดี

แต่ตอนที่ความรู้สึกได้รับการสนองคืนจริงๆ เขาถึงรู้ว่ารสชาตินี้มันดีแค่ไหน

เขาขยับตัวโอบนางเบาๆ ให้นางได้เอนกายในท่าที่สบายที่สุด ไม่นานก็ได้ยินนางหายใจอย่างสม่ำเสมอ

ตั้งแต่เมื่อไรกันที่นางเลิกระแวงเรา?

คงจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น นางก็มอบหัวใจให้เขาหมดทั้งใจไปแล้วกระมัง

โม่เสิ่นยวนมองกรอบหน้าด้านข้างที่น่าเอ็นดูของนาง สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นเกว่าเดิม

องครักษ์สองสามนายที่กำลังซ่อนตัวเฝ้าอารักขาอยู่ในเงามืด เห็นฉากนี้ ก็เบือนสายตาออกเงียบๆ หัวใจเจ็บจี๊ดเหลือหลาย

ช่างทรมานใจคนโสดซะไม่มี

เย่จายซิงลืมตาตื่นขึ้นหลังจากผ่านไปสองชั่วยาม พอลืมตาขึ้น ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเสด็จอาชัดเต็มตา แทบจะทำให้นางตาพร่าไปเลย

ใบหน้านี้ของเสด็จอา มีแรงกระแทกมากล้น ความสะลืมสะลือจากการเพิ่งตื่นนอน ถูกกระแทกสลายไปในพริบตา เหลือเพียงใบหน้ารูปงาม และริมฝีปากบางเย้ายวนใจของเสด็จอาอยู่ในดวงตาทั้งสอง

นางเอื้อมมืออกไปราวกับต้องมนตร์ กดนิ้วชี้ลงบนริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วมือ แต่สัมผัสที่ได้นั้นต่างออกไปจากปกติ เพราะยามปกติมักใช้ปากสัมผัสเสมอ

ทันใดนั้น เขาก็กัดกลับ แต่ไร้ความเจ็บปวดอย่างที่คิดเอาไว้ เขางับนิ้วของนางเอาไว้ต่างหากเล่า

เย่จายซิงแก้มแดงระเรื่อทันที ก่อนจะรีบดึงนิ้วมือกลับมา

คราวนี้นางเพิ่งจะรู้ตัว ตอนแรกนางซบอยู่บนไหล่ของเขา แต่ตอนนี้กลับเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา และถูกเขาโอบกอดในท่าเจ้าสาว

นางหลับลึกขนาดนั้นเชียวหรือ?

นางไม่รู้ตัวเลยสักนิด

ดูเหมือนว่าเสด็จอาทำให้นางสบายใจ สบายใจจนเข้าสู่ห้วงลึกของนิทราไปเลย

เมื่อเห็นดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นของเสด็จอา สองมือโอบเอวนางแน่น ก่อนจะโน้มตัวลง เข้ามาใกล้นาง

เย่จายซิงก็รีบลุกขึ้นพูดทันที:

"เสด็จอา แม่นมหลานขึ้นมาหรือยังเพคะ?"

นางไม่ยอมจุมพิตกับเขาต่อหน้าเหล่าองครักษ์หรอกนะ อยากจูบก็รอกลับก่อนสิ คิคิ

โม่เสิ่นยวนหันหน้ากลับไปมององครักษ์สองสามนายที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดอย่างไม่พอใจ เขารู้ดีว่าเหตุใดน้องซิงถึงไม่เต็มใจ

นอกจากนี้แม่นมหลานยังเป็นคนสอนให้หลิวอิ๋งหลอมกู่ และนำนางกำนัลมาหลอมกู่อีกด้วย

คนประเภทนี้ ตายไปก็เท่ากับทำแผ่นดินให้สูงขึ้น

วิชาจับวิญญาณประเภทนี้ นางไม่ใช้กับคนดีๆ อย่างแน่นอน

"อะไรนะ! จับวิญญาณรึ! พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่! ข้าไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย พวกเจ้าทำเช่นนี้เท่ากับคร่าชีวิตคนเหมือนผักปลา ฮองเฮาไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่!"

แม่นมหลานตะคอกจนเสียงแหบหมดแรง ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

"ข้าจะสอนวิชาจิตแก่เจ้าก่อน จากนั้นเจ้าก็วางมือบนหัวของนาง เมื่อเคลื่อนวิชาก็สามารถจับวิญญาณได้แล้ว หากครั้งเดียวไม่ได้ผล ก็ลองดูหลายๆ ครั้ง"

"เพคะ!"

ราวกับว่าในสายตาของทั้งสองคนไม่มีแม่นมหลานอยู่เลย กระทั่งสายตาก็ยังไม่เจียดมองนางด้วยซ้ำ

แม่นมหลานร้องแผดเสียงโวยวายอยู่ด้านข้าง สุดท้ายกลายเป็นร้องขอความเมตตา สภาพทั่วร่างทั้งตกตื่นและหวาดกลัว

แต่ทั้งสองทำเหมือนนางเป็นอากาศ เอาแต่สอนวิชาจับวิญญาณบทสำคัญให้กันอยู่

แม่นมหลานจิตใจทรุดฮวบ

"เอาล่ะ หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะลองทำดูเดี๋ยวนี้เลย"

ขณะพูด เย่ขงจายซิงก็นำมือวางบนศีรษะของแม่นมหลาน

แม่นมหลานร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่ง

เชือกมัดเซียนรัดแน่นขึ้น จนแม่นมหลานร้องไม่ออกในทันใด

"โห ที่แท้ในทะเลจิตของคนเราก็มีความทรงจำมหาศาลขนาดนี้นี่เอง ดูแล้วการจับวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย"

"ไม่เป็นไร ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยไปก็พอ หากต่อไปต้องการความทรงจำด้านใด ก็สามารถดึงออกมาได้เลย"

โม่เสิ่นยวนเอ่ยเสียงอ่อนโยน

หากมองข้ามแม่นมหลานที่กำลังน้ำลายฟูมปาก ตาเหลือกลานไป มันก็จะเป็นภาพแห่งความสามัคคีระหว่าง "อาจารย์และศิษย์"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา