ความจริงแท้แล้ว สมองของคนเราคือสถานที่ลึกลับที่สุด
ขนาดเย่จายซิงที่มีความสามารถในการบำเพ็ญขั้นสูง จับวิญญาณครั้งแรกยังผิดพลาดหลายครั้ง
จึงทำให้แม่นมหลานทุกข์ทนแสนสาหัส ราวกับมีมือหนึ่งคว้านไปมาในสมองของนาง สองตาของนางเหลือกลานไม่หยุด น้ำลายฟูมปากไม่ขาดสาย
หลังจากที่เย่จายซิงจับวิญญาณเสร็จสมบูรณ์แล้ว แม่นมหลานก็ถูกนางทำให้เสียสติไปเลย สองตาเลื่อนลอย สติสตังไม่อยู่กับตัว หัวสมองสับสนปนเป ถูกคว้านรวมกันเป็นโจ๊กหนึ่งหม้อ
โม่เสิ่นยวนยังเอ่ยชมนางด้วยว่า:
"ไม่เลว จับวิญญาณครั้งแรกโดยไม่มีใครตาย"
หากแม่นมหลานยังมีสติอยู่ ได้ยินคำนี้คงโมโหจนกระอักเลือดออกมาเป็นแน่
สองคนนี้เอานางมาเป็นเครื่องมือศึกษาชัดๆ
แต่การจับวิญญาณของเย่จายซิงยังถือว่าละมุนละม่อมมาก หากเป็นผู้อื่นจับวิญญาณครั้งแรกล่ะก็ ได้ส่งคนไปให้ยมบาลแน่ๆ
เมื่อได้รับคำชื่นชม นางก็แย้มยิ้ม แล้วเก็บเชือกมัดเซียนหลับมา
จากนั้นลูกประกายไฟดวงหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แม่นมหลานยังไม่ทันได้แม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องออกมาสักคำ ก็ถูกแผดเผาเป็นจุณ ไม่เหลือแม้กระทั่งดวงวิญญาณ
สำหรับคนชั่วช้าสามานย์เช่นนี้ ความขนพองสยองเกล้าคือบทลงโทษที่สาสมที่สุดแล้ว
"เอาล่ะ หม่อมฉันจะแปลงโฉมแล้ว เสด็จอา อีกสักพักท่านให้เหยียนเฟิงแปลงโฉมเป็นข้ากลับไปที่หอไป๋เป่าด้วย แล้วไม่ต้องออกมาอีก"
โม่เสิ่นยวนพยักหน้า:
"อืม หลังจากเจ้าเข้าวังแล้ว ข้าจะกลับไปอยู่ที่วัง"
นางผงกศีรษะ แล้วหยิบยาแปลงโฉมออกมาใส่เข้าปากกลืนลงไป จากนั้นรูปลักษณ์และกระดูกของนางก็เปลี่ยนไปเป็นอันดับแรก เสียงดังกึกกัก ตัวหดเล็กลง แผ่นหลังโก่งเล็กน้อย
ต่อมาเป็นผิวพรรณ ผม และหน้าตา นางปรับแต่งอย่างรอบคอบ ไม่นาน ก็กลายร่างมาเป็นแม่นมหลานโดยสมบูรณ์
โม่เสิ่นยวนหยิบเสื้อผ้าที่เหมือนกับของแม่นมหลานออกมาชุดหนึ่ง แม้แต่สภาพความใหม่เก่ายังแทบไม่ต่างกัน
เย่จายซิงอดชื่นชมความเตรียมการอย่างรอบคอบของเสด็จอาไม่ได้เลย
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เย่จายซิงก็ดูเหมือนกับแม่นมหลานจนแทบแยกไม่ออกเลยสักนิด นางกำลังเลียนเส้นเสียงและสำเนียงของแม่นมหลานอยู่
"คารวะเซ่าตี้"
อ่อนน้อมถ่อมตน แววตาหมองหม่น มาดท่าทางเหมือนกันราวกับแกะ
โม่เสิ่นยวนยื่นมือออกไป บีบแก้มของนางอย่างอดไม่ได้
ต่อให้นางจะแปลงโฉมเหมือนคนอื่น แต่ในสายตาของเขา นางก็คือผู้หญิงที่เขารักที่สุดอยู่ดี
เย่จายซิงทำลายบรรยากาศ หลุดขำพรืดออกมาทันใด: "เสด็จอา ท่านไม่รังเกียจใบหน้านี้ของข้ารึ?"
เขาหัวเราะเสียงเบา:
"เจ้าจะเปลี่ยนไปเช่นไร ข้าก็ไม่รังเกียจ"
นางหน้าแดงโดยพลัน กระแอมไอหนึ่งครา แล้วหยิบดอกบัวแดงหน้าเทวรูปลงมา ต้องนำกลับวังไปให้ฮองเฮา
ฮองเฮาคือผู้เลื่อมใสพ่อมดอย่างแท้จริง รำลือกันว่าร่างอวตารของพ่อมดคือดอกบัวแดง ดังนั้นนางจึงปลูกดอกบัวแดงไว้ในวังจำนวนมาก ทุกครั้งที่ให้แม่นมหลานมาสักการะ ก็จะนำดอกบัวแดงมาเสมอ จากนั้นก็จะนำกลับไป วางไว้บนแท่นบรรทมของนาง
จุดมุ่งหมายคือเพื่อให้พ่อมดคุ้มครองนาง
โม่เสิ่นยวนอธิบายให้นางฟังไปไม่น้อย กว่าจะส่งนางไปยังบริเวณขั้นบันได นางต้องเดินลงบันไดไปเองแล้วค่อยกลับไปที่วัง
นางหันหน้ากลับไปมองเขา แล้วฉกจูบเขาหนึ่งที จากนั้นจึงรีบเดินลิ่วลงบันได้ไปอย่างรวดเร็ว
บันไดตั้งหลายพันขั้นแหนะ จากความเชื่องช้าของแม่นมหลานแล้ว ต้องเดินถึงสองชั่วยามเลย
โม่เสิ่นยวนยิ้มสดใสตรงมุมปาก นัยน์ตาเอ่อล้นไปด้วยความเสน่หาลึกซึ้ง มองตามแผ่นหลังของนางที่ค่อยๆ ห่างออกไป
รอจนไม่เห็นนางแล้ว เขาจึงเดินกลับไปยังวิหาร รอยยิ้มบนใบหน้าเลือนหาย แล้วกลายมาเป็นเซ่าตี้ผู้หน้านิ่งเช่นยามปกติ
ฮองเฮาชี้ไปยังกระถางดอกไม้ที่อยู่บนโต๊ะ ภายในกระถางนั้นมีน้ำพิเศษและหินทิพย์ระดับสูงหลายก้อน ชี่ทิพย์อัดแน่นมาก พอดอกบัวแดงซึ่งเดิมทีเหี่ยวเฉาเล็กน้อยจุ่มลงในน้ำ ก็เบ่งบานราวกับดื่มชี่ทิพย์จนอิ่มเอม
ฮองเฮามองดอกบัวแดง ราวกับได้รับพลังชีวิตขึ้นมา แล้วมุ่นคิ้วเอ่ยกับนางว่า:
"แม่นม เจ้าว่าเหตุใดโม่เสิ่นยวนถึงดวงแข็งได้ขนาดนั้น เหตุใดถึงฆ่าเขาไม่ได้เสียที ตอนนี้เขาเริ่มมาบ่อนทำลายเรื่องของข้าแล้ว ลูกกู่ในร่างของหลิวอิ๋งก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว วันนี้ข้าอุตส่าห์เลี้ยงกู่ขึ้นมาใหม่จนเลือดตาแทบกระเด็น แต่ยังขาดเลือดของฝ่าบาทจึงจะสำเร็จ"
นางหงุดหงิดยิ่งนัก มองไม่เห็นความสง่าและชดช้อยเช่นยามปกติเลยสักนิด เพราะความเหนื่อยล้าและโมโห ทำให้ใบหน้างดงามแลไม่เห็นความพริ้มเพราหมดจดเหมือนยามปกติ ดูแก่ชราไปเล็กน้อย
เย่จายซิงเลียนแบบท่าทีขบเคี้ยวเขี้ยวฟันของแม่นมหลาน แล้วเอ่ยเสริมทัพว่า:
"เซ่าตี้ช่างน่าหมั่นไส้จริงๆ ดวงแข็งยิ่งกว่าแมลงสาบ หลายครั้งขนาดนั้นยังเอาชีวิตเขาไม่ได้! แต่พระนาง ท่านอย่าเพิ่งใจร้อนไปเลยเพคะ ฝ่าบาทเกลียดชังเขาถึงเพียงนั้น ไม่มีทางให้เขาแต่งกับเย่จายซิงแน่ ถึงตอนที่เขาแต่งกับสาวบริสุทธิ์ ยามเข้าหอหลับนอน ก็คือยามที่เขาจะต้องตาย เขาเป็นบุรุษปกติทั่วไปคนหนึ่ง ไม่มีทางไม่แตะต้องหญิงที่เสมือนบุปผาดุจหยกอย่างสาวบริสุทธิ์ได้หรอกเพคะ เมื่อเขาตาย ถึงเวลานั้นท่านก็จะได้สมปราถนาแล้ว!"
การแสดงออกทางสีหน้านิดๆ ของนางเหมือนที่แม่นมพูดยามปกติไม่มีผิดเพี้ยน ฮองเฮามองหน้านาง ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
"เจ้าพูดถูกแล้ว เขาต้องแต่งกับยุ่นเอ๋อร์เท่านั้น ไม่มีทางไม่แตะต้องยุ่นเอ๋อร์แน่นอน และตอนนั้น ก็จะเป็นเวลาตายของเขา"
"ใช่แล้วเพคะ พระนาง ท่านปล่อยใจสบายๆ เถิด อย่าเก็บมากลุ้มใจนักเลย ด้านองค์หญิงก็ไม่ต้องกังวลไป ขอเพียงเลี้ยงกู่ได้สำเร็จ แล้วฝังเข้าไปในร่างขององค์หญิง ฝ่าบาทก็จะปฏิบัติกับองค์หญิงเหมือนตอนแรกแล้ว ส่วนเรื่องนำเลือดของฝ่าบาทมา…..หม่อมฉันมีวิธีเพคะ"
"วิธีใด?"
ฮองเฮาถาม
เย่จายซิงเอ่ยว่า: "หานักฆ่าสักคนมาแสร้งทำเป็นลอบปลงพระชนม์ฝ่าบาท ถึงตอนนั้นท่านก็แอบเก็บเลือดของพระองค์มา….หม่อมฉันนั้นปัญญาด้อย คิดออกเพียงวิธีนี้เพคะ"
ฮองเฮาส่ายหน้า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ
ตอนนางได้เลือดของฮ่องเต้มาก่อนหน้า ก็เพราะบังเอิญเจอนักฆ่าข้างนอกเข้า นางเลยฉวยโอกาสเก็บเลือดมา
เพียงแต่การลอบสังหารในครั้งนั้น นางไม่ได้เป็นคนเตรียมการก็เท่านั้น
เย่จายซิงขยับนิ้วเล็กน้อย คิดในใจว่า:
ฮ่องเต้ ท่านอย่าหาว่าข้าใจร้ายเลยนะ แต่ใครใช้ให้ท่านทารุณจิตใจเสด็จอาของข้าเล่า ให้ท่านถูกมีดกรีด เลือดหลั่งริน ยังนับว่าเบานัก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...