บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 314

แสงประกายของดาบหยุดลง

ตอนนี้นอกจากเสียงกรีดร้องอันโหยหวนเหมือนหมูโดนเชือด นอกนั้นก็ดูเงียบงันไปหมด

ไม่มีใครคาดคิดว่า หญิงสาวแสนสวยที่ดูเหมือนไม่เคยบำเพ็ญตนและดูบอบบางอ่อนโยนผู้นั้น ใช้เพียงแค่มือเดียวก็สามารถจัดการเจ้าสำนักน้อยของสำนักพรรคเทียนฉานลงไปกองอยู่ที่พื้นได้แล้ว ทั้งยังทำเขาจนแขนหัก องศาการหักก็ดูแปลกๆ อีกด้วย

ทุกคนต่างเห็นว่ากระดูกของ จงรุ่ยฉีมันทิ่มจนทะลุเนื้อออกมา

มันไม่ง่ายเลยที่มันจะหักบริเวณข้อศอกแบบนั้น แถมยังเป็นช่วงตรงกลางแขนอีกด้วย

มิน่าล่ะจงรุ่ยฉีถึงได้กรีดร้องโหยหวนขนาดนั้น

แค่มองก็รู้ว่า มันเจ็บปวดมากจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเลยก็ว่าได้

แต่ว่า จงรุ่ยฉีได้บำเพ็ญตนในช่วงสุดท้ายของแดนราชาทิพย์ แม้จะใช้ทรัพยากรมากมายเท่าไร แต่ก็จริงจังกับการบำเพ็ญตน ซึ่งกระดูกของเขาก็แข็งแรงมาก

สุดท้ายก็โดนหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทำร้ายจนน่าเวทนาขนาดนี้

ที่สำคัญก็คือ ไม่มีใครรู้สึกได้ว่าในตัวนางมีคลื่นพลังทิพย์อยู่

ตอนที่นางลงมือนั้น แม้กระทั่งพลังการบำเพ็ญตนก็ไม่ปรากฏออกมาด้วยซ้ำ

ส่วนมืออีกข้าง ก็ยังอุ้มแจกันเก่าๆ ใบนั้นอยู่

เย่เส้าทึ่งจนอ้าปากค้าง

ในใจคิดว่า มันอาจจะเหมือนในนิทานพื้นบ้านที่เคยเขียนไว้ว่า แสร้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสือ ก็เป็นได้?

“โอ๊ยโอ๊ยโอ๊ย!มัวทำอะไรกันอยู่ รีบไปจับนางไว้สิ!”

จงรุ่ยฉีตะโกนเสียงดัง เหงื่อออกเต็มบนหน้าผาก และรู้สึกอับอายที่โดนทำร้ายเช่นนี้

ตอนนี้แค่ฆ่าทุกคนในสำนัก สำนักเฉียนคุนตายให้หมด ก็จะไม่มีใครเอาเรื่องน่าอายในวันนี้ไปเล่าต่อได้อีก

ยังมีหญิงสาวคนนี้อีก ไม่รู้เป็นโชคขี้หมาอะไรถึงทำร้ายเขาได้ขนาดนี้ รอให้จับนางได้ก่อนเถอะ กลับไปจะทรมานให้แสนสาหัส จนกว่าจะเชื่องเป็นหมา และให้เชื่อฟังแต่คำพูดของเขาคนเดียวเท่านั้น

ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอผู้หญิงที่แข็งแกร่งมาก่อน แต่ต่างก็โดนเขาสั่งสอนจนเชื่องทุกคน จนเป็นทาสในเรือนเบี้ยไปแล้ว?

เมื่อคนของสำนักพรรคเทียนฉาน ได้ยินดังนั้น ต่างก็เริ่มโจมตีหนักขึ้นทันที

ท่านอาวุโสหลิวถือค้อนยักษ์ ทุบอย่างดุดันไปทางเย่จายซิง

เป็นเพราะค้อนยักษ์ของเขาเอง ที่ทำให้ป้ายประตูภูเขาสำนัก สำนักเฉียนคุน ต้องเสียหาย

“ระวัง!อาวุธของท่านอาวุโสหลิวเป็นอาวุธขั้นเจ็ด”

เย่เส้าและหัวหน้าคนอื่นๆ ต่างเตือนเย่จายซิงอย่างรีบร้อน

แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะโจมตีจงรุ่ยฉีแล้ว แต่ท่านอาวุโสหลิวไม่ได้กินมังสวิรัติ เขาบำเพ็ญตนในช่วงแรกของแดนมหาจักรพรรดิทิพย์ ในเมืองยวี่หลัวฝีมือเขาไม่เป็นสองรองใครเลย

ขณะที่ค้อนยักษ์หล่นลงมานั้น เย่จายซิงก็ขยับขาออก การโจมตีรอบนี้รวดเร็วแวบวาบราวกับผีผลุบโผล่เลยก็ว่าได้

ท่านอาวุโสหลิวกะพริบตา จังหวะของค้อนยักษ์ก็ยิ่งเร็วขึ้น

มีเสียงตุ้บตุ้บที่พื้น และมีหลุมใหญ่เกิดขึ้นมากมายบนพื้นนั้น

เย่จายซิงได้แต่หลบ

นางรู้สึกว่านางลืมอะไรหลายอย่างไป แต่พอถึงเวลาจู่โจม การเคลื่อนไหวของท่านอาวุโสหลิวช้ามากในสายตาของนาง

เหมือนการเคลื่อนไหวมันชะลอช้าไปหมด

แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนนางมีประสบการณ์ทำศึกสงครามมามาก ในสายตานางความสามารถของท่านอาวุโสหลิว เลยดูไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไรนัก

ในสายตาคนอื่น นางแค่คอยหลบหลีกการจู่โจมเท่านั้น พลาดนิดเดียวก็โดนทุบแล้ว

แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางประเมินท่วงท่าการจู่โจมของท่านอาวุโสหลิวแล้ว เลยจงใจที่จะหลบแบบช้าๆ เพราะนางกำลังหาจุดอ่อนของท่านอาวุโสหลิวอยู่

ได้เวลาแล้ว

นางพูดในใจ

ตอนที่ท่านอาวุโสหลิวเหวี่ยงค้อนยักษ์อีกครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วในการจู่โจม เย่จายซิงก็เปลี่ยนความเร็วในทันที ราวกับหนังผีที่โผล่ไปอยู่ด้านหลังของท่านอาวุโสหลิว แล้วหยิบดาบจากพื้นขึ้นมา แทงเข้าไปที่กระดูกสันหลังของท่านอาวุโสหลิว

ถูกต้อง กระดูกสันหลังของท่านอาวุโสหลิวเป็นจุดอ่อนที่สุด โดยเฉพาะทุกครั้งที่เขาทำการจู่โจม จุดนี้กลายเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด

“โฮะโฮะ”

ท่านอาวุโสหลิวกระอักออกมาเป็นเลือด หันกลับมาอย่างไม่เชื่อตัวเอง เขาไม่ทันระวังความเคลื่อนไหวของเย่จายซิง นางก็มาโผล่ที่ด้านหลังของเขาเสียแล้ว แถมยังแทงเข้าไปที่กระดูกสันหลังขอเขาอีกด้วย

เย่จายซิงไม่ให้โอกาสท่านอาวุโสหลิวแม้แต่โอกาสที่หายใจ นางใช้โอกาสนี้ออกแรงอย่างหนัก บดขยี้ไปที่หัวใจของท่านอาวุโสหลิวทันที

นางคุ้นเคยกับความเคลื่อนไหวนี้ ราวกับว่าเมื่อก่อนเคยทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง

ท่านอาวุโสหลิวตายแล้ว

ยิ่งทำให้คนอื่นๆ รู้สึกขนพองสยองเกล้ามากกว่าเดิมเสียอีก

เจ้าสำนักเหยียน กระแอมเบาๆ โบกมือและพูดว่า

“ช่างเถอะ ให้อภัยซึ่งกันและกันเถิด พวกข้าเฉียนคุน เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่สนใจเรื่องรบราฆ่าฟัน ปล่อยพวกมันไปเถอะ”

เขาพูดด้วยความเด็ดเดี่ยวและองอาจ

เย่เส้าขมวดคิ้วและพูดในใจว่า ท่านอาจารย์ท่านกลัวสำนักใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังสำนักพรรคเทียนฉานจะบุกเข้ามาแน่เลย

แต่นั้นมันก็เป็นมหันตภัยใหญ่จริงๆแหละ และจะนำความเดือดร้อนอย่างไม่มีที่สิ้นสุดมาให้กับหญิงสาวผู้นี้

จงรุ่ยฉีและคนอื่นๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และค่อยๆ ถอยทัพกลับไป

“ช้าก่อน”

จู่ๆเย่จายซิงก็ตะโกนให้พวกเขาหยุด

จงรุ่ยฉีหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม อีกนิดฉี่จะราดกางเกงอีกรอบล่ะ

แต่ได้แค่ฟังหญิงสาวแสนสวยผู้นั้นกล่าวว่า

“พวกเจ้าทำลายสำนัก ชดใช้เสียก่อนแล้วค่อยไปแล้วกัน”

“ชดใช้!สมควรชดใช้!พวกข้าจะชดใช้!”

ในใจของจงรุ่ยฉีเต้นรัวเป็นกลอง รีบควักแหวน และหินทิพย์หลายรอยก้อนออกมา

หินทิพย์เหล่านี้ มากพอที่จะเอาไปซ่อมแซมป้ายแขวนสำนักได้หลายพันแผ่น

หญิงสาวขมวดคิ้ว “ไม่พอ”

นางครุ่นคิด นี้มันแค่เศษเงินไม่ใช่หรือ?

นางมีความคิดเช่นนี้ แสดงว่าเมื่อก่อนนี้นางน่าจะเป็นคนที่ร่ำรวยมากแน่ๆ

หินทิพย์น้อยแค่นี้ นางรับไม่ได้หรอก

จงรุ่ยฉี รีบควักหินทิพย์ออกมาอีกหลายร้อยก้อน ผลก็คือหญิงสาวคนนั้นยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้น

ใจของเขายิ่งสั่นด้วยความกลัว รีบหยิบทั้งแหวนและหินทิพย์ทั้งหมดเทออกมา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา