จากเมืองนี้เดินทางไปที่เมืองเซียนเหอ หนทางนับว่าอีกยาวไกลนัก
เย่จายซิงจึงมิได้ตั้งใจจะเดินทางหามรุ่งหามค่ำเช่นนั้น
ดังนั้น นางจึงตัดสินใจพักที่เมืองไป๋เยว่เสียก่อน เป็นเพราะว่า จากนี้อีกสองวัน ที่นี่จะมีการประลองของปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงเกิดขึ้น
ในเมื่อนางต้องการ “ชื่อเสียง” เช่นนั้นนางก็ใช้การประลองในคราวนี้เพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับตนเอง
หลังจากที่เย่จายซิงมาถึงแล้วนั้น นางก็ไปออกตามหาซื้อเตากลั่นโอสถ แต่นางก็พบกันอันที่ถูกใจ ดังนั้นเย่จายซิงจึงตั้งใจว่านางจะต้องใจออกตามหาเตากลั่นโอสถในวันพรุ่งนี้แทน ในยามนี้นางควรจะเข้าในเมืองเพื่อทำการลงชื่อเข้าร่วมการประลองปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงเสียก่อน
ทั้งฉียวี่เจียและกัวเจียงที่ติดตามนางอยู่ด้านหลังมาโดยตลอดนั้น นอกจากพวกเขาจะไม่สามารถพูดได้แล้ว ทุกอย่างจึงดูเป็นปกติดี
เมื่อทั้งสองคนเห็นเย่จายซิงซื้อทั้งโอสถและเตากลั่นโอสถระหว่างทางนั้น ในยามนี้ยังเดินทางไปลงชื่อเข้าร่วมการประลองปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงอีก พวกเขาพลันหมดคำพูดไปในทันที
ต้องปรมาจารย์กลั่นยาขั้นห้าขึ้นไป ถึงจะสามารถเรียกตนเองว่าปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูงได้
นางที่เป็นเพียงสตรีอายุน้อยเช่นนี้ นางเอาความมั่นใจจากที่ใดไปเข้าร่วมการแข่งขันกับพวกเขากัน?
ศิษย์พี่น้องของสำนักเสวียนปิงที่ถูกกักเอาไว้ในโรงเตี๊ยมนั้น ย่อมมิได้รับรู้ถึงชื่อเสียงของเย่จายซิงที่หนานโจวทั้งยังไม่รู้อีกว่านางมีศักดิ์เป็นถึงอาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดจริง ๆ ด้วย
ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็พร้อมที่จะรับชมเรื่องขบขันของนาง ทั้งยังอยากจะเห็นเย่จายซิงหน้าแตกอยู่บนลานประลองอีกด้วย
“เจ้ามิได้หลงผิดใช่ไหม? เจ้าต้องการจะเข้าร่วมการประลองปรมาจารย์กลั่นยาขั้นสูง ?”
เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการลงทะเบียนผู้เข้าแข่งขัน พลันมองมาที่เย่จายซิง พลางเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
แม้ว่าแม่นางน้อยผู้นี้จะมีรูปลักษณ์ที่เป็นเลิศ เพียงแค่เดินเข้ามาก็สามารถดึงดูดสายตาผู้คนที่อยู่โดยรอบได้แล้ว ผู้ใดจะรู้กันว่านางจะอยากลงชื่อเข้าร่วมการประลองในครานี้อีกด้วย
ผู้ที่เข้ามาลงชื่อร่วมการประลอง มิได้เป็นผู้เข้าแข่งขันที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามมาก่อน และนางมิเพียงแต่เป็นพวกหน้าใหม่ อีกทั้งยังอายุน้อยอีกด้วย อายุน้อยเสียจนเหมือนนางจะเป็นเพียงปรมาจารย์กลั่นยาขั้นต้นเท่านั้น
เย่จายซิงพยักหน้าให้กับเขา “ใช่ ข้าต้องการเข้าร่วมการประลอง”
เจ้าหน้าที่วัยกลางคนได้แต่ส่ายหน้าไปมา พลางเอ่ยถามว่า “เจ้าอายุเท่าใดกัน เป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นใด?”
“สิบเจ็ด”
แม้ว่าอายุกระดูกของนางจะเพียงสิบหกกว่าปีเท่านั้น เพียงอีกไม่กี่เดือนนางถึงจะอายุครบสิบหกเต็ม เมื่อเข้ามาอยู่ในแผ่นดินของผู้ฝึกตนเช่นนี้ สตรีที่อายุอานามถึงสิบหกปีย่อมหมายความว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ผู้ฝึกตนที่มีความสามารถแข็งแกร่งนั้น จะสามารถนับกระดูกอายุของพวกเขาได้
เย่จายซิงเองมิได้ตั้งใจจะปิดบังแต่อย่างใด ดังนั้นผู้คนที่อยู่โดยรอบจึงรู้ว่านางมิได้โกหก อีกทั้งใบหน้าของวัยแรกแย้มราวกับบุปผาของนางเช่นนี้ กลิ่นอายของหญิงสาวที่เติบโตเข้าช่วงวัยผู้ใหญ่ นางย่อมดูงดงามอย่างหาที่สุดมิได้
“เจ้าเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นใด?” บุรุษวัยกลางคนกล่าวถามอีกครั้ง
“อาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ด”
เย่จายซิงกล่าว
เพียงแค่นางพูดประโยคนี้ออกมา ดวงตาของเจ้าหน้าที่คนนั้นแทบจะตาถลนออกมาในทันที
“เจ้าว่าขั้นใดนะ?”
บุรุษวัยกลางคนพลันเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเก้าอีกในทันที พลางมองมาที่นางด้วยท่าทีไม่เชื่อใจ ดวงตายังฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอีก
ไม่มีผู้ใดเชื่อในคำพูดของนาง
นางเพิ่งจะอายุยางเข้าสิบเจ็ดหนาว แม้ว่าจะเป็นปรมาจารย์กลั่นยาแล้วอย่างไร อายุเพียงสิบเจ็ดหนาวอย่างมากก็เป็นได้แค่ปรมาจารย์กลั่นยาขั้นห้าเท่านั้น
ทางฝั่งของเซียนเหอและแดนเหนือนั้น มีอัจฉริยะอายุน้อยเช่นนี้อยู่มากเลยทีเดียว
ทว่า อายุสิบเจ็ดหนาวเป็นได้ถึงขั้นอาจารย์กลั่นยาขั้นเจ็ดนั้น พวกเขาเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
เป็นเวลานับหมื่นปีแล้ว พวกเขามิเคยได้ยินอัจฉริยะทางด้านปรมาจารย์กลั่นยาเช่นนี้มาก่อนเลย
“ขั้นเจ็ด”
เย่จายซิงตอบคำถามเขาอีกครั้ง
“เจ้าอย่าได้มาเอ่ยหยอกล้อเช่นนี้ แม่นางน้อย การประลองการกลั่นยานั้นเป็นเวทีทางการ หาใช่สถานที่ที่เจ้าจะเข้าไปก่อความวุ่นวายได้”
บุรุษวัยกลางคนพลันโบกมือไปมา เขารู้สึกว่าเย่จายซิงกำลังกลั่นแกล้งเขาอยู่
“ข้ามิได้พูดเล่น การประลองมิได้มีกฎข้อห้ามว่าบุคคลที่อายุน้อยห้ามเข้าร่วมการประลองมิใช่หรือ”
ทำเหมือนกับว่า นางมองไม่เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกธรแค้นของพวกเขาไม่
ทั้งฉียวี่เจียและกัวเจียงไม่คิดเลยว่า เย่จายซิงยังคิดจะมัดพวกเขาเอาไว้ด้วยกันอีก ความรู้สึกที่ต้องมาโดนกักขังเช่นนี้ นับว่าทำให้พวกเขารู้สึกอับอายและรู้สึกน่าขายหน้ายิ่งนัก
พวกเขาได้แต่กล่าวคำสาบานภายในใจว่า รอให้พวกเขากลับไปที่สำนักเสวียนปิงได้เมื่อใด พวกเขาจะทำให้เย่จายซิงได้เห็นผลลัพธ์ของการกระทำของตนเอง
โรงเตี๊ยมที่มีราคาแพงนั้น ไม่เพียงแต่การเก็บเสียงที่ดีและเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัยแล้วนั้น ทุกอย่างล้วนแต่ดีกว่าโรงเตี๊ยมถูกๆ ทั่วไปยิ่งนัก
เย่จายซิงมิอยากเห็นพวกเขาลูกศิษย์สองคนนั้นอีก จึงตั้งใจใช้จ่ายหินทิพย์เพิ่มมากขึ้นหน่อยเพื่อเปิดห้องให้พวกเขาอีกห้องหนึ่ง
ส่วนอีกสองคนนั้น นางมิได้พาฉียวี่เจียและกัวเจียงออกมาด้วย ดังนั้นนางจึงเดินเล่นอยู่ภายในเมืองไป๋เยว่ได้อย่างสบายใจ
ขอเพียงแค่นางเห็นโอสถหายากชนิดใดก็ตาม นางก็ไม่อาจหยุดมือตนเองไว้ได้เลย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยการใช้เงินมือเติบของความทรงจำตนเองก่อนหน้าด้วยหรือไม่
เมื่อเย่จายซิงเห็นเตากลั่นโอสถที่ถูกใจนั้น หินทิพย์ในมือของนางก็มีไม่พอเสียแล้ว
ทว่า เตากลั่นโอสถนี้ก็มีราคาแพงมากนัก อีกทั้งยังมิใช่เตากลั่นโอสถที่คุณภาพดีอีกด้วยหากแต่ภายในใจของเย่จายซิงกลับให้คะแนนไปว่า “พอใช้” ทว่าต้องใช้จ่ายถึงห้าล้านหินทิพย์นั้น นับว่าแพงเกินควร
เย่จายซิงจึงตั้งใจเดินหาเตากลั่นโอสถต่อไป นางไม่เชื่อว่าเมืองใหญ่ๆ เช่นนี้ นางจะมาอาจหาเตากลั่นโอสถที่ถูกใจตนเองเจอได้
ปรากฏว่า ก่อนจะถึงวันงานประลองเพียงวันเดียวนั้น นางก็ยังไม่อาจหาเตากลั่นโอสถที่ถูกใจตนเองเจออีก
ภายในใจของเย่จายซิงรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก พลางคิดว่าตนเองจะลองไปเดินดูที่ตลาดมืดดู จู่แหวนมิติที่อยู่มือพลันส่องแสงออกมา พร้อมกับเสียงที่ดังปั้งเตากลั่นโอสถสีม่วงพลันมาปรากฏอยู่บนหน้าของนางในทันที
มันเป็นเตากลั่นโอสถที่ดูเรียบง่าย ลวดลายเล็กที่อยู่ด้านบนพลันถูกสลักเอาไว้ว่า -- เตาหงส์เสวียนม่วง
“เตาหงส์เสวียนม่วง ?”
ความรู้สึกคุ้นเคยพลันท่าโถมเข้ามาในหัวใจของนางในทันทีนี่เป็นเตากลั่นโอสถที่นางเคยใช้มาก่อนแน่ เย่จายซิงรู้สึกชอบมันยิ่งนัก ทว่า มันดูเหมือนว่าจะแฝงไปด้วยความหมายพิเศษอื่นๆอีกด้วย
เป็นไปได้ไหมหรือไม่ว่า จะมี ใครบางคนมอบมันให้กับนาง?
เย่จายซิงชะงักไปครู่หนึ่ง พลางใช้มือเล็ก ๆ ลูบไปที่หน้าท้องของตนเอง
หรือจะเป็นเตากลั่นโอสถที่บิดาของเด็กในท้องเป็นคนมอบมันให้นางกัน?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...