ในเซียนเหอถึงขั้นกล้าสังหารนายน้อยสายแยกตระกูลป๋ายหลี่และอาจารย์กลั่นยา เรื่องนี้ทำให้ตระกูลป๋ายหลี่ไม่ใจอย่างมาก
ผู้คนในตระกูลป๋ายหลี่ สามารถกล่าวได้ว่าเดินไปที่ไหนก็ไม่มีปัญหา แต่อยู่ดีๆ วิญญาณกลับถูกบีบแตก เช่นนี้ไม่เพียงแต่ขัดใจเท่านั้น แต่ยังจงใจยั่วยุอีก
ผู้อาวุโสป๋ายหลี่ออกมาก็เพื่อทรมานคนที่ลงมือ ให้ทุกคนในเซียนเหอได้รู้ ว่าตระกูลป๋ายหลี่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาถอนขนบนหัวเสือได้
“ตายซะเถอะ ไอ้เด็กไม่รู้ความ”
ผู้อาวุโสห้าป๋ายหลี่ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล และทหารอีกสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขาก็โจมตีทันที
เมื่อดูจากสถานการณ์แล้ว คู่ต่อสู้จะต้องตายอย่างอนาถแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้โม่เสิ่นยวนก็เอาป้ายคำสั่งออกมาอย่างใจเย็น
“ป้ายคำสั่งประมุขตระกูลวิหคอยู่ที่นี่แล้ว ใครฝ่าฝืน?”
ทันใดนั้น ทุกคนก็หยุดราวกับรถเบรก จ้องมองไปที่ป้ายคำสั่งของโม่เสิ่นยวนอย่างเหลือเชื่อ ป้ายคำสั่งของประมุขตระกูลวิหคเหมือนมีชีวิต ไม่นานนักมันก็เปล่งแสงออกมาและลอยขึ้น
ผู้อาวุโสป๋ายหลี่เบิกตากว้าง กล่าวด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าไปเอาป้ายคำสั่งของประมุขเผ่าวิหคมาจากไหน! ไม่สิ มันต้องเป็นของปลอมแน่ๆ ประมุขตระกูลวิหคจะมอบป้ายประจำตัวแบบนี้ให้กับเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าได้อย่างไร!”
เขาสงสัยว่าโม่เสิ่นยวนจงใจเสแสร้งต้องการขัดขวางตระกูลป๋ายหลี่ของพวกเขา
เขาคิดว่าตระกูลป๋ายหลี่หลอกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ทุกคนคิดมีเหตุมีผล ประมุขเผ่าวิหคจะเทียบเท่าคนที่มีอำนาจมากที่สุดในเซียนเหอ เขาไม่ค่อยปรากฏตัวแล้วเขาจะให้ป้ายคำสั่งของตัวเองกับคนอื่นได้อย่างไร?
“ของปลอม?”
โม่เสิ่นยวนหัวเราะเบาๆ แววตาเย็นชา น้ำเสียงต่ำลงแลดูขี้เล่น
“เมื่อสามวันก่อน ที่งานประมูล มีคนนับไม่ถ้วนที่เห็นประมุขเผ่าวิหคมอบป้ายคำสั่งให้ข้ากับมือของเขาเอง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หมายความว่าประมุขเผ่าวิหคที่ปรากฏตัวในวันนั้นก็เป็นของปลอมเช่นกันหรือ”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ! เจ้าเป็นคนไปร่วมงานประมูลในวันนั้นเองหรือ!”
ผู้อาวุโสห้าป๋ายหลี่ตกตะลึง
งานประมูลเมื่อสามวันก่อน เป็นการประมูลที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก ดังนั้น ไม่เพียงแต่ประมุขตระกูลวิหคเท่านั้นที่ไป แต่ยังมีประมุขตระกูลป๋ายหลี่ด้วย
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดในวันนั้นคือการปรากฏตัวของภัณฑ์เทพชิ้นใหม่ที่น่าทึ่งในการประมูล
อาวุธเทพนี้ถูกประมุขเผ่าวิหคจับตามอง เขาไม่อาจปล่อยวางได้ และยังบอกว่าภัณฑ์เทพอยู่ในหมวดหมู่อาวุธกึ่งเทพ คนที่สร้างภัณฑ์เทพชิ้นนี้ต้องเป็นนักหลอมอาวุธที่เก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน
หลังจากนั้นผู้คนที่ห้องประมูลได้เชิญนักหลอมอาวุธออกมา แม้ว่าเขาจะสวมหน้ากากเงิน จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน แต่ก็มองออกว่าเขาดูไม่แก่และไม่ธรรมดา
ในเวลานั้นทุกคนประหลาดใจมาก ไม่มีใครคิดถึงว่านักหลอมอาวุธที่สร้างภัณฑ์เทพที่น่าทึ่งเช่นนี้ ไม่ใช่ชายชราผมขาวเหมือนที่พวกเขาจินตนาการ แต่เป็นชายหนุ่มเช่นนี้
ในเวลานั้นประมุขเผ่าวิหคก็ได้เชิญเขาไปเป็นการส่วนตัว แต่เขากลับปฏิเสธ ทว่าประมุขเผ่าวิหคกลับไม่โกรธ แถมยังชื่นชมเขา และปลดป้ายประจำตัวที่เขาแขวนไว้บนเอวมาเป็นเวลาหลายปี มอบให้ชายคนนั้น
ทุกคนเข้าใจดีว่าป้ายคำสั่งนั้นหมายถึงอะไร มันแสดงให้เห็นว่าประมุขเผ่าวิหคซาบซึ้งในตัวเขามากขนาดไหน และมันแสดงถึงความตั้งใจของประมุขเผ่าวิหคที่ต้องการจะสนับสนุนเขา
ตอนนั้นไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาตาร้อนมากแค่ไหน
ประมุขตระกูลป๋ายหลี่ยังแอบสั่งผู้ผู้อาวุโสห้าให้ติดตามชายหนุ่มคนนั้นเพื่อดูว่าเขาเป็นใคร พอที่จะให้ตระกูลป๋ายหลี่ดึงเข้าพวกได้หรือไม่
น่าเสียดายที่บุคคลนั้นหายไปหลังจากออกจากที่ประมูลได้ไม่นาน
เดิมทีเขาคิดว่าชายหนุ่มคนนั้นอาจจะเป็นนายน้อยตระกูลใหญ่สักตระกูล หลังจากโผล่หน้าออกมาที่เซียนเหอ แล้วกลับไปที่ตระกูล
ดังนั้นเมื่อเขาเห็นโม่เสิ่นยวนนำป้ายคำสั่งออกมา เขากลับไม่คิดถึงด้านนี้ แต่ยังคิดว่าป้ายคำสั่งนั้นเป็นของปลอม
แต่เมื่อมองไปที่วิหคทองที่ลอยอยู่บนป้ายนั้น ผู้อาวุโสห้าป๋ายหลี่ก็เข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่ของปลอม มันไม่มีสิ่งใดที่จริงได้เท่าสิ่งนี้แล้ว
เขากัดฟันอย่างแรง ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำได้เพียงแอบส่งเสียงให้ประมุขของตน เพื่อถามหาวิธีจัดการ
“เจ้าผิดแล้ว ข้าไม่ได้ฆ่าป๋ายหลี่ปินและหลัวเฟิง โดยไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะพวกเขาดูถูกภรรยาของข้า สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง ถ้าจะให้ข้าชดใช้ พวกเจ้าก็เข้ามาได้”
เย่จายซิงชักดาบออกมา แล้วเดินถอยหลังไปพร้อมกับเขา
ก็แค่สู้กันเท่านั้น นางไม่มีอะไรต้องกลัว กลับกันนางกลับรอคอย อยากเห็นว่าทักษะและการเคลื่อนไหวของคนในตระกูลป๋ายหลี่นี้อยู่ระดับใด
“พวกเจ้า”
เดิมทีผู้อาวุโสห้าคิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้พวกนี้กลัวจนคุกเข่าแล้วขอโทษ ใครจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับดื้อรั้น ไม่กลัวแม้แต่ตระกูลป๋ายหลี่
“เอาล่ะ พวกเจ้าพอแล้ว คอยดูเถอะ สักวันพวกเจ้าจะตกมาอยู่ในกำมือของข้า”
เขาพูดอย่างโหดเหี้ยม แล้วหมุนตัวจากไป
แต่แผ่นหลังของเขากลับดูจนตรอก มาครั้งนี้ไม่เพียงแต่แก้แค้นไม่ได้ แต่ยังไม่กล้าลงมือทำอะไร
ไม่รู้ว่าด้านหลังเขามีกี่คนที่หัวเราะเยาะ
“พวกเรากลับ”
โจวหยวนจื่อกล่าว
ทันใดนั้น เขาก็หยิบขวานขนาดใหญ่ออกมาจามไปที่หอเจินเหว้ย ทำให้ภัตตาคารเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ถึงได้จากไปอย่างภาคภูมิใจ
ในเมื่อกล้าคิดบัญชีกับพวกเขา เช่นนั้นหอเจินเหว้ยแห่งนี้ก็ไม่สมควรเปิดอีกต่อไป
เถ้าแก่ทังมองไปที่ภัตตาคารซึ่งโอนเอนไปมา ก็นั่งลงที่พื้นด้วยสีหน้าน่าสงสาร
โจวหยวนจื่อพาเย่จายซิงและโม่เสิ่นยวนไปที่ที่เขาอยู่ ก็คือจวนขนาดใหญ่ที่ใกล้กับตระกูลวิหค
เย่จายซิงมองดูจวนที่ใหญ่มากหลังนี้ มันหรูหราในความเรียบง่าย ช่างน่าประหลาดใจ นางยังคิดว่าอาจารย์ของนางเป็นคนจนที่มีแต่ตัวเสียอีก คิดไม่ถึงว่าเขาจะรวยขนาดนี้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...