บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 386

"หากพูดมาเช่นนี้แล้ว แต่ยังคิดอยากลงไปเอาสมบัติในสุสาน อัตราเสี่ยงค่อนข้างสูงทีเดียว"

เย่จายซิงเอ่ย

ได้ยินมาว่าสุสานโบราณนั่นเป็นของเซียนสวรรค์ หากเป็นหลุมฝังสังขารของเขา แทนที่จะเป็นหลุมฝังของต่างหน้าไว้อาลัยล่ะก็ จะต้องมีทรัพย์สมบัติที่ทำให้คนตาลุกวาวเป็นแน่

ทว่าคิดจะเอาสมบัติเหล่านั้น อาจต้องจ่ายแลกมาด้วยชีวิต

"ความจริงนายหญิงก็ลงไปสำรวจดูได้นะ อย่าลืมสิ ตอนนี้ดวงจิตของข้าหลอมรวมเข้ากายหยาบแล้ว สามารถมอบพลังวิเศษคู่กายที่บันดาลโชคปัดเป่าภัยให้แก่นายหญิงได้ด้วยนะ"

เจ้าไป๋กล่าวด้วยความลำพองเล็กน้อย

นางเอ่ยว่า: "มิน่าเล่าตอนอยู่ตรงทางเข้าสุสานเมื่อครู่ จิตสำนึกของข้าจึงรับรู้ได้ถึงภัยอันตราย ที่แท้ก็เป็นเพราะพลังวิเศษของเจ้านี่เอง"

"ถูกต้อง! ถึงอย่างไรข้าก็เป็นอสูรเทพตนหนึ่งเช่นกันนะ แม้ไม่อาจหวนคืนสู่ช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ แต่ความสามารถที่ควรมีก็ยังคงมีอยู่"

นางเม้มปากยิ้มๆ แล้วชี้มือชี้ไม้ไปยังเจ้าเทาเที่ยข้างๆ ที่รู้จักเอาแต่กินลูกเดียว

"แล้วมันเล่า นอกจากกิน มีพลังวิเศษคู่กายอะไรบ้าง?"

"เทาเที่ยสามารถทำให้ท่านเห็นความรู้สึกของผู้อื่นที่มีต่อท่านได้ ไม่ว่าจะเป็นแง่บวกหรือแง่ลบ และทำให้ผู้คนรับรู้เจตนาดีและร้ายของพวกเขาที่มีต่อท่านได้"

เจ้าไป๋รู้ว่านางมีหลายเรื่องที่จำไม่ได้ จึงอธิบายอย่างใจเย็น

เย่จายซิงถึงบางอ้อในทันใด ที่แท้เทาเที่ยก็เป็นผู้มอบพลังนี้ให้แก่นางนี่เอง ใช้งานได้ดีทีเดียว

ตอนที่นางหันมองเจ้าเทาเที่ยที่เอาแต่ชอบกินชอบนอนอีกครั้ง ก็รู้สึกสบายลูกตาขึ้นมามาก

"แล้วเจ้าจิ้งจอกน้อยเล่า? มันรู้จักแต่ทำท่าบ้องแบ๊วหรือ?"

นางเขย่งเท้าตัวเองขึ้น เจ้าจิ้งจอกน้อยแดงเพลิงที่ห้อยหัวอยู่ข้างบน ดูราวกับขาห้อยต่องแต่งข้างหนึ่ง

เจ้าจิ้งจอกน้อยได้ยินดังนั้น ก็โงหัวขึ้น กระพริบตากลมโตปริบๆ จากนั้นจึงใข้หัวคลอเคลียกับนาง

ทำตัวบ้องแบ๊วเช่นนี้ แทบจะผิดธรรมชาติอยู่แล้ว

เจ้าไป๋เบะปาก ตอนเจ้าจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงเพิ่งเข้ามาใหม่ๆ มันถือตนยิ่งนัก หมางเมินเฉยชาไม่ว่ากับใคร ตอนนี้กลับทำตัวบ้องแบ๊วได้อย่างไม่สะทกสะท้าน มีนมก็นับเป็นแม่หมดเลยสินะ

เพื่อของกินไม่กี่คำ อะไรก็ยอมแลก

ทว่าของที่มันกินไม่ใช่อาหารธรรมดา หากแต่เป็นพู่เทพ วันๆ เอาแต่กินจนตัวมันเลื่อม น่าขยะแขยงเหมือนกับเจ้าดำตัวใหญ่นั่น

ก่อนหน้านี้เจ้าไป๋ยังกังวลว่าเจ้าจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงตัวนี้จะมีเล่ห์เหลี่ยมตามวิสัยชาติกำเนิด แต่ดูไปดูมา เจ้าตัวเล็กนี่ ดันเหมือนเจ้าแบ๊วจอมบ๊องเสียนี่

"มันน่ะหรือ ก็ไม่ได้ทำตัวออเซาะไปเสียทีเดียวหรอก ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง จมูกของมันไวต่อการสัมผัส ผู้ฝึกตนสมัยโบราณแต่ก่อนนำจมูกของจิ้งจอกทิพย์จิ่วอิงมาเป็นจมูกสุนัข ใช้มันมาล่าสมบัติ หากนายหญิงจะลงไปยังสุสาน ก็เอามันไปด้วยได้พอดีเลย"

พอเจ้าจิ้งจอกน้อยได้ฟัง ก็ยิงฟันใส่เจ้าไป๋อย่างไม่ชอบใจ เจ้าสิหมา หมาทั้งตระกูลเจ้านั้นแหละ!

เย่จายซิงหลุดขำออกมาหนึ่งเสียง แล้วเอ่ยว่า: "เอาล่ะ ข้ามาทบทวนดูแล้ว หากตั้งใจจะลงไปยังสุสาน ก็จะพาเจ้าเด็กนี่ไปด้วย"

การพาอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย เนียนกว่าพาอสูรเทพไปด้วยตั้งเยอะ

อีกอย่างข้างนอกนี้ยังมีวิหคเพลิงน้อยคอยเฝ้าระวังกลิ่นอายสังหารให้นางอยู่แล้ว

หลังจากออกไป นางก็ได้กินอาหารร้อนๆ ที่โม่เสิ่นยวนทำให้พอดี

แล้วก็ช่างถูกปากนางอีกตามคาด ซึ่งรอบนี้นางก็ดื่มซุปเยอะขึ้นครึ่งชามอีกแล้ว

นางคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่พ้นหนึ่งเดือน นางต้องตัวกลมดิ๊กแน่ๆ

เดิมนางอยากจะกินให้น้อยลงหน่อย แต่โม่เสิ่นยวนบอกว่าเขาได้ยินมาว่าหญิงท้องบางคนพอเข้าช่วงเลยหนึ่งเดือนขึ้นไปก็จะเริ่มแพ้ท้อง กินอะไรก็อาเจียนไปหมด คนที่เป็นหนักต้องแพ้ท้องไปยันคลอด ส่วนคนที่ต่อให้แพ้ไม่รุนแรงมาก ก็ยังอาเจียนอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้กินอะไรได้ก็ให้นางถือโอกาสกินให้เยอะๆ หน่อย

นางคิดว่า สัจจะธรรมก็เป็นเช่นนี้ นางจึงไม่อาจไปควบคุมความอยากอาหารของตัวเองได้

นางขำเล็กน้อย เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาเป็นบุรุษแสนเย็นชาที่ทั้งขึงขังทั้งสำรวมอาการ เหตุใดตอนนี้กลับเป็นเหมือนเด็กน้อยได้ลูกกวาดไปเสียแล้ว

ความขัดแย้งนี้น่ารักน่าเอ็นดู จนทำให้มุมปากนางฉีกกว้างขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

โม่เสิ่นยวนจ้องตานางอย่างหวานซึ้ง เอ่ยกับนางว่า:

"ตอนรู้ว่าเจ้าท้อง ข้าดีใจเหลือเกิน ไม่ใช่เพราะข้าอยากมีลูก แต่เพราะเด็กคนนี้เป็นลูกของเราสองคน เราจะเลี้ยงดูเขาให้เติบใหญ่ไปด้วยกัน ก้าวผ่านทุกข์และสุข อุปสรรคและขวากหนามไปด้วยกัน พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกัน"

"แม้ข้าจะยังเตรียมตัวเป็นพ่อได้ไม่ดีพร้อม ในขั้นตอนนี้อาจมีการพลิกผันมากมาย แต่ข้าจะตั้งใจเรียนรู้วิธีการเป็นพ่อที่มีคุณสมบัติ และปกป้องลูกกับเจ้า"

เย่จายซิงมองหน้าเขา ไม่รู้ทำไม พอได้ยินเขาพูดคำเหล่านี้อย่างจริงจัง จมูกนางก็เริ่มแสบขึ้นมา

นางจำไม่ได้ว่าเขาไร้ความอบอุ่นและการอบรมจากบิดามาตั้งแต่เด็ก เขาล้มลุกคลุกคลานเติบโตมาด้วยตัวเอง แต่แม้นางจะจำไม่ได้แล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็ยังหลงเหลืออยู่ ความรู้สึกสงสารเขาก่อเกิดขึ้นมาในหัวใจ

แต่ไม่ทันรอให้นางเอ่ยอะไรออกมา ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ฉายชัดขึ้นเรื่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้นาง และจากนั้น คำที่จะเอ่ยออกมาก็ถูกเขากดปิดไว้ในลำคอโดยสมบูรณ์

การสัมผัสที่ชิดใกล้ที่สุด คือวิธีย่นระยะห่างระหว่างคนสองคนที่ดีที่สุด

ต่อให้เย่จายซิงจะเขินอายหลังจากนั้นเล็กน้อย แต่มันกลับดูเกินปกติต่อความรู้สึกที่คุ้นเคยของเขา

"น้องซิงวางแผนจะจัดการกับเทพธิดากู่หลิงอย่างไร?"

โม่เสิ่นยวนนำน้ำเข้ามา เช็ดเหงื่อพราวบนศีรษะของนาง พร้อมถามนางอย่างอ่อนโยน

เขาเดาว่านางอาจจะมีแผนอื่นแล้ว จึงไม่คิดสังหารเทพธิดากู่หลิงในดาบเดียว เช่นนั้นจะกลายเป็นว่าง่ายเกินไปสำหรับอีกฝ่าย และไม่ได้ให้น้องซิงสนุกจนหนำใจด้วย

เย่จายซิงมองผ้าผืนบางที่ปลิวไสวไปตามแรงลม แล้วเผยอริมฝีปากเอ่ยว่า:

"ให้นางตกลงมาจากหิ้งบูชาเสียก่อน ตอนอยู่ในเมืองก่อนหน้านี้ ได้ยินว่าอีกครึ่งเดือน จะมีการจัดประลองอาจารย์ยันต์ทิพย์ใจกลางเมืองหลวงของแคว้นกู่โหมว เสด็จอา ท่านว่า หากวิชาที่นางเชี่ยวชาญที่สุดทำนางพ่ายแพ้ ชาวเมืองที่ยกย่องนางเหล่านั้น จะต้องผิดหวังกันมากเลยใช่หรือไม่"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา