หนานกงจิ่นเขกหัวเสวียนหยวนป๋ายไปหนึ่งทีอย่างหมดคำจะพูด
"อย่าพูดจาเหลวไหล พวกเขาต้องมาดินแดนเราด้วยเหตุผลบางอย่างแน่นอน แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา"
เสวียนหยวนป๋ายลูบหัวพลางทำปากยู่: "ข้าก็แค่ล้อเล่นเองนี่นา"
"พอแล้ว พวกเราไปกันเถิด ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้ทางหรือเปล่าเนี่ย"
โม่เสิ่นยวนย่อมรู้ทางแน่นอน ระหว่างทางมายังแคว้นกู่โหมว เขาก็เห็นค่ายใหญ่ค่ายหนึ่งอยู่กลางทะเลทรายแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว เรือทิพย์ก็มาจอดอยู่ด้านนอกของสุสานโบราณ
เมื่อเห็นว่ามีคนมา ทั้งยังนั่งเรือทิพย์ภัณฑ์เทพอีกต่างหาก สายตาของคนจำนวนมากจึงจ้องไปยังร่างโม่เสิ่นยวนและเย่จายซิงที่เดินลงมาจากเรือทิพย์เป็นตาเดียว
เดิมพวกเขาคิดอยากจะซักถามว่าผู้มาใหม่นั้นเป็นใคร ปรากฏว่าเมื่อเห็นพวกเขาแล้ว ภายในดวงตาก็เหลือแค่เพียงความตื่นตะลึง
ชายหนุ่มหญิงสาวรูปโฉมสง่าราศรีเลิศเลอ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หล่อเหลา หญิงสาวงดงามหมดจด มองเพียงแวบเดียว ก็รู้สึกได้เลยว่าทั้งสองเหมาะสมกันเป็นที่สุด
ไม่จำเป็นต้องคิดให้มากความ ก็ดูออกเลยว่าทั้งสองเป็นคู่รักกัน
แต่หน้าตาทั้งคู่ดูไม่คุ้นยิ่งนัก ไม่นาน สายตาทุกคนก็แปรเปลี่ยนเป็นสงสัยใคร่รู้
โดยเฉพาะผู้ฝึกตนพเนจรหน้าเงินที่อยากเข้าไปในสุสานโบราณเหล่านั้น สายตาที่มองคนสองคนฉายความประหวั่นขึ้นมา
กลัวว่าสองคนนี้จะมาแย่งสมบัติในสุสานโบราณกับเขา
เล่ากันว่านี่คือสุสานของเทพเซียน ถึงแม้จะอันตราย ทว่าในนั้นต้องมีสมบัติคณานับแน่ๆ เอามาได้สักชิ้นจากในนั้น ก็สุขสบายไปทั้งชาติแล้ว
การมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะเสียโอกาสได้สมบัติ
เย่จายซิงจับสังเกตสายตาของคนเหล่านี้ แววตาและสีหน้าของพวกเขาแต่ละคนแตกต่างกันไป นางกับโม่เสิ่นยวนยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน รอให้หนานกงจิ่นและคนอื่นๆ มาก่อน
โม่เสิ่นยวนเดินขึ้นไปด้านหน้าหนึ่งก้าว เบี่ยงกายหันข้างบดบังสายตาเร่าร้อนให้นาง
"เหนื่อยหรือไม่?"
เขามองนางอย่างอ่อนโยน
นางยิ้มพลางส่ายหน้า: "ไม่เหนื่อย ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เอาอะไรมาเหนื่อยเล่า"
นางแค่ตั้งครรภ์ ไม่ได้บาดเจ็บเสียหน่อย เหมือนว่าในสายตาของเขา นางคล้ายจะดูแลตัวเองไม่ได้ไปแล้ว
แต่ความรู้สึกที่มีคนคอยปกป้องดูแลเช่นนี้ ก็ไม่ได้แย่เลย นางชอบยิ่งนัก
โม่เสิ่นยวนหยิบน้ำถุงหนึ่งออกมาให้นางดื่มน้ำเย็นชื่นใจ และออกหวานนิดๆ ในนั้น ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ ช่างเป็นอาวุธคลายร้อนได้ดียิ่งนัก
เขาใส่ใจทุกรายละเอียดกับนางเสมอ
เย่จายซิงคิดว่าตนน่าจะมาที่เซียนเหอให้เร็วกว่านี้ จะได้ถูกเขาหาตัวเจอได้เร็วหน่อย
ไม่นาน หนานกงจิ่นและอีกสองสามคนก็มาถึง
เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาเดินไปทางโม่เสิ่นยวนและเย่จายซิง คราวนี้ถึงรู้ว่าเป็นสหายของนายน้อยหนานกง
"ข้าจะพาพวกท่านเข้าไปดูหน่อยแล้วกัน สุสานใหญ่อยู่ข้างหน้านี้เอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเอาชีวิตไปทิ้งในนั้น ข้าจึงให้คนจำนวนมากเฝ้ารอบๆ สุสานใหญ่เอาไว้ ตอนกลางคืนจะอันตรายหน่อย พอฟ้าสางคนพวกนี้ก็ถอนกำลังออกไปแล้ว"
หนานกงจิ่นเดินนำทางขึ้นไปด้านหน้า พลางพูดกับพวกเขาไปด้วย
บนท้องฟ้าเวลานี้เพิ่งมีแสงอัสดงสาดส่องขึ้นมา แต่พื่นที่บริเวณนี้จะมืดมนกว่าที่อื่นมาก
เมื่อเทียบกับตอนกลางคืน สุสานโบราณในตอนกลางวันนั้นปลอดภัยกว่ามาก หากลงไปแล้วรีบกลับมาให้ทันก็ยังสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ แต่เมื่อตกกลางคืน เมื่อไรก็ตามที่ลงไป นั้นเท่ากับต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้คนเอาชีวิตลงไปทิ้ง แต่กลับมีคนคิดว่าตระกูลหนานกงของเขาอยากจะยึดครองสุสานโบราณเอาไว้เอง
ไม่นานก็เดินมาถึงบริเวณสุสานโบราณ ที่นั่นเป็นหลุมลึกขนาดมหึมาหลุมหนึ่ง ลึกจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด กลิ่นอายความชั่วร้ายลอยคละคลุ้งออกมาจากด้านใน
เป็นสุสานอาถรรพ์อย่างที่คิดไว้จริงๆ
เย่จายซิงยืนมองลงไปจากบนริมขอบ จิตสำนึกสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ แต่เนิ่นนานกว่าจะถึงก้นหลุม บริเวณลึกสุด มีทางเดินสุสานที่ทอดยาวเหยียดอยู่สายหนึ่ง
เย่จายซิงผงกศีรษะ
เมื่อโม่เสิ่นยวนพยักหน้าให้คนเหล่านั้นเรียบๆ ก็โอบเย่จายซิงออกห่างจากตรงนั้น
พวกเขากลับมายังสถานที่ที่จอดเรือทิพย์ไว้เมื่อครู่ ไม่ได้เก็บเรือทิพย์กลับมา พอร่ายม่านอาคมไว้ด้านบนหนึ่งชั้น ก็สามารถพักอยู่ด้านในได้เลย
ทันทีที่กลับมา โม่เสิ่นยวนก็ลงมือทำอาหารค่ำให้นางกินอยู่บนดาดฟ้าเรือ
เขาเปลี่ยนรูปแบบการปรุงอาหารใหม่ อาหารที่เย่จายซิงกินในแต่ละวันล้วนไม่ซ้ำหน้า ทั้งหมดล้วนทำให้นางเจริญอาหารได้ดียิ่ง
ผู้ฝึกตนพเนจรหญิงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเห็นโม่เสิ่นยวนกำลังขมักเขม้นอยู่บนดาดฟ้าเรือ ในใจก็รู้สึกอิจฉาจนทนไม่ไหว
หน้าตาทั้งหล่อเหลา พลังทั้งแก่แกล้า ดูท่าแล้วยังเหมือนจะร่ำรวยอีกด้วย คนเช่นนี้ ถึงขั้นยอมหุงข้าวปรุงอาหารให้ผู้หญิงของตน ใครบ้างจะไม่อิจฉาเย่จายซิง?
เย่จายซิงไม่ค่อยถูกกับกลิ่นเขม่าควัน จึงไม่ได้ออกไป นางไม่มีสิ่งใดทำ เลยเข้าไปในห้วงกาลเวลา ถามเจ้าไป๋เรืองอสูรพิทักษ์สุสาน
เจ้าไป๋รอบรู้มาก เรื่องที่นางไม่รู้แล้วถามเจ้าไป๋ ก็มักจะได้คำตอบอยู่เสมอ
เจ้าไป๋อธิบายนิยามของอสูรพิทักษ์สุสานให้นางฟัง ก็ตามชื่อของมันนั่นแหละ หลังจากเจ้าของสุสานหลอมกลั่นขึ้นมา ก็สูญเสียปัญญาทิพย์ของตนไป แล้วมาพิทักษ์สุสานเป็นการเฉพาะ
ชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางออกจากสุสานได้ เมื่อมีคนบุกเข้าไป ก็จะสังหารอย่างไม่ปราณี
อสูรพิทักษ์สุสานบางตนเมื่อตายไปแล้ว ดวงจิตจะกลายเป็นวิญญาณ คอยปกป้องสุสานสืบต่อไป
เย่จายซิงเองก็ไม่รู้ว่าที่คำรามในสุสานเมื่อครู่เป็นอสูรพิทักษ์สุสานที่ยังมีชีวิต หรือเป็นอสูรพิทักษ์สุสานที่กลายเป็นวิญญาณแล้วกันแน่
แต่ที่มั่นใจได้แน่ๆ ก็คือ ระดับความอันตรายของเจ้าตัวนี้มีสูงมาก
นางเล่าถึงความรู้สึกอันตรายเมื่อครู่ทำนองนั้นให้เจ้าไป๋ฟัง
เจ้าไป๋ไม่เห็นกับตาตัวเอง จึงไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แต่มันเอ่ยว่า:
"ยิ่งระดับของเจ้าอสูรพิทักษ์สุสานสูงมากเท่าไร ยิ่งชี้ชัดว่าสมบัติในสุสานแห่งนี้ต้องมีมากเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นหลุมฝังศพของสังขารผู้ยิ่งใหญ่สักคน ที่ฝังกลบสังขารของเขา รวมถึงสมบัติทั้งหลายจากตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เอาไว้"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา
มาอ่านเรื่องนี้ต่อค่ะ หวังว่าจะลงเนื้อหาจนจบ...
115จนถึงถึง159ไม่มีเลยค่ะลงต่อให้ครบได้มั้ยค่ะ😂...
ตอนที่ 115-159 หายไปค่ะ อ่านต่อไม่ได้อ่ะค่ะ...
115-159หายไปไหนอ่าคะ...
อัพวันละหลายๆตอนได้มั้ยค่ะ ขอบคุณค่ะ...