บัลลังก์ชายาหมอเทวดา นิยาย บท 48

องค์หญิงหลิงหยุนออกไปจากจวนแม่ทัพ หน้าตาบูดบึ้งเป็นอย่างมาก

สองพี่น้องเย่เจียหรงมองจนเกี้ยวขององค์หญิงจากไป

"น้องหยู เหตุใดเย่จายซิงถึงเปลี่ยนเป็นคนละคนเช่นนี้ได้ เมื่อก่อนนางไม่ได้มีปากที่ปราดเปรียวเช่นนี้ ทำเอาองค์หญิงพูดไม่ออกเลย"

เย่เจียหรงถามด้วยเสียงเรียบเฉย ท่าทางไม่แยแสต่อทุกสิ่งอย่างราวกับดอกเบญจมาศก็ไม่ปาน ก็เพียงแค่ถามไปเท่านั้นไม่ได้ใส่ใจอะไร

“เมื่อก่อนนั้นนางแสร้งทำ ทำเป็นซ่อนกรงเล็บเอาไว้ ก็ไม่รู้ว่านางไปรู้จักกับอ๋องเซ่อเจิ้งได้ยังไง ต่อมาก็นิสัยเปลี่ยนไป ท่านแม่บอกว่าหางจิ้งจอกของนางโผล่ออกมาซ่อนไม่อยู่แล้ว ก็เหมือนกับแม่ของนางแค่พูดก็ทำให้คนสำลักตายได้”

เย่เจียหยูกล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูก

คนแซ่หวังเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว เมื่อตอนนั้นแม่ของสองพี่สองเย่จายซิงเป็นนางจิ้งจอกที่พูดจาปราดเปรียว อีกทั้งยังสวยมากเป็นพิเศษ พอปรากฏตัวที่เมืองหลวงก็ถูกขนานนามว่าเป็นสตรีที่งดงามอันดับ 1

โชคดีที่ต่อมานางหายตัวไป ได้ยินว่าไปเสียชีวิตอยู่นอกเมือง มิเช่นนั้นมีนายหญิงเช่นนั้นอยู่ จวนแม่ทัพก็ไม่ตกถึงเงื้อมมือของพวกเขาหรอก

เย่เจียหรงพยักหน้าอย่างเฉยๆ ชายกระโปรงสีฟ้าพัดไหวตามลมราวกับเทพจุติก็ไม่ปาน

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจแล้ว นางล่วงเกินองค์หญิง องค์หญิงไม่ปล่อยนางไปหรอก”

นางไม่ได้เอาเรื่องของเย่จาร่องรอยซิงที่เล็กเช่นนี้มาใส่ใจอยู่แล้ว นางมองแวบเดียวก็รู้ว่าผลการฝึกตนของเย่จายซิงแม้แต่นิดก็ไม่มี แม้ว่าผิวจะขาวขึ้นมาหน่อย แต่เห็นได้ชัดว่าปานยังห้อยอยู่บนหน้าของนางอัปลักษณ์ ไม่ใช่คนที่ควรค่าแก่การใส่ใจอะไร

“ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วที่เจ้าบอกข้าในป้ายหยกส่งสารว่ามีสัตว์ดุร้ายขั้นห้าปรากฏตัวออกมาปกป้องสองพี่น้องเย่จายซิงนั้นเรื่องมันเป็นมายังไงกัน?”

เย่เจียหยูกล่าว

“ตอนแรกทุกคนต่างก็พากันคิดว่าเย่จายซิงเป็นคนอัญเชิญสัตว์ดุร้ายมา แต่นางไม่ได้มีผลการฝึกตนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นนักสะกดวิญญาณ ดังนั้นข้าคิดว่าน่าจะเป็นกิเลนอสูรทิพย์ของอ๋องเซ่อเจิ้งที่เรียกสัตว์ดุร้ายมา”

“งั้นก็ถูกแล้ว”

เย่เจียหรงไม่เชื่อว่าเย่จายซิงจะเป็นนักสะกดวิญญาณ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นนางแบบนี้ยังเป็นได้แค่นักสะกดวิญญาณขั้นสามเองในทุกวันนี้

อสูรวิหงค์เยือกที่นางขี่อยู่นั้นก็เป็นศิษย์พี่คนหนึ่งล่ามามอบให้นางตอนที่ไปยังสถานที่หนาวเหน็บ แต่สิ่งที่นางสามารถอัญเชิญนั้นก็มีเพียงสัตว์ดุร้ายขั้นต่ำและขั้นสามเท่านั้น

“ท่านพี่ ครั้งนี้ท่านจะอยู่นานเท่าไร? พาข้าไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”

เย่เจียหยูถามนางอย่างมีความหวัง

เย่เจียหรงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า

“ครั้งนี้เนื่องจากข้าได้รับหน้าที่จากสำนักมา พอดีผ่านมาทางแคว้นหงส์แดง และก็เจอกับองค์หญิงกลางทางโดยบังเอิญจึงกลับมา อีกสองสามวันศิษย์พี่สองสามคนและอาจารย์อาจจะมาที่นี่ ถึงตอนนั้นข้าต้องไปปฏิบัติหน้าที่ที่นครอัศจรรย์ทมิฬด้วยกันกับพวกเขา รอตอนปลายปีเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์”

“อิจฉาท่านพี่จริงๆ เลย หากข้าสามารถเข้าร่วมสำนักใหญ่อย่างสำนักเมฆแดงก็คงดีไม่น้อยเลย” เย่เจียหยูทำปากเบะ ดูสิ้นหวังมาก

“ในภายหน้าเจ้าก็สามารถเข้าร่วมศูนย์สำนักอาจารย์กลั่นยาได้ ซึ่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักใหญ่หรอก เจ้าจำไว้นะว่าเป้าหมายของเจ้าคือองค์หญิงหลิงหยุน และต้องเหนือกว่านางด้วย ให้กลายเป็นอาจารย์กลั่นยาผู้มีพรสวรรค์ที่ดูน่าเกรงขาม เจ้าสำนักแห่งศูนย์สำนักคือเจ้าบ้านตระกูลลั่ว หากเจ้าสามารถได้รับคำชื่นชมจากเขาได้ละก็ไม่แน่ว่าก็จะมีโอกาสได้แต่งกับนายน้อยตระกูลลั่ว กลายเป็นนายหญิงในอานาคตของตระกูลลั่ว”

เย่เจียหรงมองตาของน้องสาวแล้วกำชับอย่างจริงจัง

สำนักเมฆแดงเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่การแข่งขับค่อนข้างสูง มีเพียงนางที่โดดเด่นผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว น้องหยูไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นหรอก

เพียงชั่วพริบตาเดียวดวงตาของเย่เจียหยูก็ปรากฏเป็นแสงแวววาวขึ้นมาทันที นายหญิงในอนาคตของตระกูลลั่วที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ สิ่งนี้มีแรงดึงดูดต่อนางมากจริงๆ

กิอนหน้านี้นางเคยพบกับลั่วกูหยุน เขามีความรู้สึกดีๆ กับนาง หากสามารถเอาพ่อเขาอยู่ เรื่องอภิเษกสมรสก็เป็นอันสำเร็จเป็นแน่

“งั้นท่านพี่ล่ะ? ท่านอยากจะสมรสกับใคร?”

นางพูดอย่างเบาๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยลำแสงแห่งการอยากรู้อยากเห็น

อีกด้านหนึ่ง องค์หญิงหลิงหยุนเข้าไปในวัง พอถึงหน้าฮ่องเต้ก็ปะทุอารมณ์ออกมายกใหญ่

ฮ่องเต้ที่ทรงพระเยาว์ได้รู้ถึงสาเหตุกล่าวด้วยการไม่คิดอะไรว่า

“เสด็จพี่ ท่านควรแล้วหรือที่จะต้องโมโหมากเช่นนี้สำหรับผู้หญิงอัปลักษณ์คนหนึ่ง? ข้าวางแผนว่าจะให้เซี่ยซือห้าวสมรสกับเย่จายซิงอยู่พอดี เป็นเช่นนี้แล้วอ๋องเซ่อเจิ้งก็จะไม่คอยปกป้องหญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นอีก ถึงตอนนั้นนางก็ขึ้นอยู่กับเจ้าจะฆ่าจะแกงยังไงไม่ใช่หรือ?”

“งั้นเจ้ายังรออะไรอยู่อีกล่ะ ออกราชโองการตอนนี้เลยสิ! นางคิดว่ามีจวินหยวนคอยให้ท้ายนางอยู่ถึงคิดจะทำอะไรก็ได้ แม้แต่ข้าที่เป็นองค์หญิงก็ไม่อยู่ในสายตา ข้าจะทำให้นางไม่มีทางโงหัวขึ้นมาได้แน่!”

สีหน้าท่าทางขององค์หญิงหลิงหยุนบึ้งตึง ทั้งหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง นางโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยถูกใครทำให้โมโหเช่นนี้มาก่อนเลย

“เพียงแต่ข้ากังวลว่าท่าทีของอ๋องเซ่อเจิ้งที่มีต่อหญิงอัปลักษณ์นั้นจะไม่ธรรมดา เมื่อครู่เจ้าบอกว่าองครักษ์ลับของอ๋องเซ่อเจิ้งเรียกหญิงอัปลักษณ์ว่าพระชายาไม่ใช่หรือ หากข้ามีพระราชโองการลงไปแล้วอ๋องเซ่อเจิ้งมาหาเรื่องข้า จำอย่างไร?”

ในใจลึกๆ ของฮ่องเต้ยังคงเกรงกลัวต่อจวินหยวนอยู่บ้าง หลายปีมานี้ก็ระแวงระวังมาตลอด กลัวว่าตนเองก็จะถูกเขาฟันในดาบเดียวเช่นกัน

องค์หญิงหลิงหยุนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นชาว่า

“ผู้ชายธรรมดาทั่วไปจะเป็นไปได้ยังไงที่จะชอบคนรูปลักษณ์อัปลักษณ์คนหนึ่งได้? ข้าเห็นเย่จายซิงก็อยากจะอ้วกแล้ว จวินหยวนต้องไม่ได้ชอบนางจริงๆ แน่นอน ไม่งั้นก็อาศัยการพระราชทานอภิเษกสมรสมาลองดูท่าทีของเขาสักหน่อย”

“งั้นก็ดี ตอนนี้ข้าก็จะมีราชโองการให้เย่จายซิงเข้าวัง พระราชทานพิธีสมรสตอนหน้านาง ได้ยินมาว่าเมื่อก่อนนางก็ชอบเซี่ยซือห้าว นางจะต้องรับราชโองการอย่างดีใจแน่นอน และตอนนั้นแม้แต่อ๋องเซ่อเจิ้งคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วในเมื่อชายก็รักหญิงก็ยอม”

ฮ่องเต้พูดอยู่และรู้สึกว่ามีเหตุผลมาก จากนั้นรีบถ่ายทอดราชโองการลงไปให้เซี่ยซือห้าวและเย่จายซิงเข้าวัง

พอคิดว่าต่อจากนี้จะสามารถกดขี่เย่จายซิงได้อย่างง่ายดาย ในใจขององค์หญิงหลิงหยุนก็เป็นสุขไม่น้อยเลยทีเดียว

“ใช่แล้ว เสด็จน้อง ยาที่อยู่ด้านบนนี้เจ้าช่วยข้าเก็บรวบรวมหน่อย ข้าต้องปรุงยาที่สาบสูญไปชนิดหนึ่ง หากสามารถปรุงสำเร็จครั้งนี้ผ่านการตรวจสอบจากศูนย์สำนัก ข้าก็จะสามารถหลุดพ้นจากฐานะของเด็กฝึก และประกาศตัวเป็นศิษย์ของศูนย์สำนักอย่างเป็นทางการ”

นางหยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่นส่งให้ฮ่องเต้วัยเยาว์

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์ชายาหมอเทวดา