หยู่เหวินเห้ายังคงปล่อยให้รัชทายาทดูแลงานบ้านเมือง เรื่องนี้เขาไม่คิดจะรีบร้อนบอกอู๋ซ่างหวง ต้องสังเกตทิศทางดูก่อน เรื่องนี้ใหญ่เกินไป จะรีบตัดสินใจแบบลวก ๆ ไม่ได้
อันที่จริงเขาคิดว่า อายุยังน้อยก็รีบเกษียณออกมาก็เห็นจะเป็นอะไร ลองดูฮ่องเต้ในราชวงศ์ที่ผ่านมา ตอนเยาว์วัยต่างก็ทุ่มเททำงานหนักเพื่อสร้างประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง แต่พอแก่ตัวไปกลับกลายเป็นเผด็จการที่ออกจะเลอะเลือนไปแทนเสียได้
อาจเป็นเพราะคนเราเมื่อแก่ตัวไป ก็จะเริ่มกลัวความตายและการสูญเสีย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่จะกุมอำนาจไว้ในมือ ทนให้ใครมาพูดจายุแหย่ไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำ
ซึ่งเรื่องนี้ ก็มีเสด็จพ่อที่เป็นกรณีศึกษาให้เห็นอยู่แล้ว ทุกเรื่องที่เขาทำค่อย ๆ กลายเป็นเรื่องที่ขาดความยุติธรรม ลำเอียงเข้าข้างคนที่ตัวเองรักใคร่เอ็นดู
แม้เขาจะคิดอย่างนี้ แต่ใจหนึ่งกลับรู้สึกว่าเขากำลังหาข้ออ้างอยู่หรือเปล่า? ถ้าหากเขากำลังหาข้ออ้าง นั่นจะเป็นอะไรที่ค่อนข้างไร้ยางอายจริง ๆ
แต่จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนัก อาศัยอะไรที่เจ้าหยวนต้องเสียสละเพื่อเขามาโดยตลอด? ทั้งพ่อแม่ญาติพี่น้องของนางต่างก็อยู่คนละช่วงเวลาคนละมิติ อาชีพการงานของนางก็อยู่ที่นั่น แต่ผู้คนทางทางฝั่งเป่ยถังกลุ่มใหญ่กลับฉุดรั้งนางไว้ ถ้าพูดกันแบบตรง ๆ นี่มันคือการลักพาตัวทางศีลธรรมชัด ๆ เลยไม่ใช่หรือ?
เขาจะทำตัวไร้ยางอายขนาดนี้ไม่ได้
ช่วงเวลาแบบนี้ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลังจากสังเกตรัชทายาท ความคิดของเขาที่จะกึ่งเกษียณก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงตัดสินใจออกจากวังไปคุยกับอู๋ซ่างหวงก่อน
เนื่องจากตอนนี้สามยักษ์ใหญ่มักจะอยู่ด้วยกันตลอด ทำให้ระหว่างทั้งสามคนไม่มีความลับอะไรต่อกัน ดังนั้นเรื่องนี้เขาจึงไม่ได้คุยกับอู๋ซ่างหวงตามลำพัง แต่ยังเรียกให้ทั้งสองคนอยู่ฟังด้วย
เมื่ออู๋ซ่างหวงได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาหลายส่วน ไม่พูดอะไรเลยสักคำอยู่นานมาก
อีกสองคนก็ไม่พูดอะไรเลยเหมือนกัน ท่านฉู่ทำท่าคล้ายว่ากำลังใคร่ครวญและประเมิน สมองแก่ ๆ ของเขาเริ่มกระบวนการทำงานด้วยความเร็วสูงปรี้ด
จากนั้นอู๋ซ่างหวงกับเซียวเหยากงก็ค่อย ๆ หันไปมองท่านฉู่พร้อมกัน สถานการณ์ในปัจจุบันของราชสำนัก เขาเป็นคนที่รู้อย่างชัดเจนที่สุด
แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวไถ่ถามอะไรแล้ว แต่สุดท้ายก็อยู่เฉยไม่ได้ เมื่อไหร่ที่มีเวลาก็จะวิ่งไปคุยกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเหล่านั้น หาข้ออ้างไปเยี่ยมบ้านขุนนางใหญ่ เพื่อติดต่อไปมาหาสู่กับพวกขุนนางเก่าแก่บ้างเป็นครั้งคราว
นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับรัชทายาทเป็นพิเศษ ใครก็ตามที่มาตำหนักบูรพา เขาก็จะรีบสั่งให้คนไปตรวจสอบประวัติครอบครัวถึงสามรุ่น อาจดูเหมือนว่าเขาไม่สนใจอะไร แต่เอาเข้าจริงไม่ว่าอะไรเขาก็สนใจทุกอย่าง
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมผมบนหัวของเขาถึงได้ขาวโพลนอย่างรวดเร็วแบบนั้น
ในที่สุดท่านฉู่ก็พยักหน้าช้า ๆ เซียวเหยากงค่อยพูดขึ้นว่า "ได้สินะ เช่นนั้นก็ได้สินะ"
หยู่เหวินเห้าหันไปมองอู๋ซ่างหวง แต่อู๋ซ่างหวงกลับไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วด้วยซ้ำ ราวกับว่าเขายังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอะไรบางอย่าง
“เสด็จปู่ ท่านไม่เห็นด้วยอย่างนั้นรึ? ท่านยังมีข้อกังวลหรือข้อตำหนิอะไร เชิญพูดออกมาเพื่อหารือร่วมกันเถอะ หลานสามารถให้คำตอบที่ท่านพอใจได้”
ท่านฉู่พูดว่า: "เจ้าหก แม้ว่าจนถึงตอนนี้รัชทายาทจะดูแลงานบ้านเมืองได้ไม่นาน แต่เขาก็มีส่วนร่วมในงานด้านการทหารมานานแล้ว ต่อมายังได้จัดตั้งคณะทำงานเล็ก ๆ ภายในตำหนักบูรพา ไม่เคยมีความขัดแย้งใด ๆ กับเหล่าขุนนางในราชสำนัก สร้างชื่อเสียงและคุณงามความดีไม่น้อย ทั้งยังสยบความขัดแย้งของเหล่าขุนนางในราชสำนักได้ เจ้าสามารถวางใจได้"
"ใช่แล้ว ได้จริง ๆ นะ ได้จริง ๆ!" เซียวเหยากงก็พูดอย่างคล้อยตาม แม้ว่าเขาจะไม่ได้ชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสีย แต่ในเมื่อฉู่เสี่ยวอู่เป็นคนวิเคราะห์เอง การคำนวณของฉู่เสี่ยวอู่นั้นแทบจะไม่เคยผิดพลาดเลย ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทุกคนแค่คล้อยตามไปก็พอแล้ว
หยู่เหวินเห้าไปที่หมู่ตึกเหมยพร้อมกับหยวนชิงหลิง ซึ่งหยวนชิงหลิงก็ไม่ได้ไปน้อมทักทายไท่ซ่างหวงนานมากแล้วเหมือนกัน
ท่านหมิงยังนับว่าชอบลูกสะใภ้คนนี้มากพอสมควร ได้เห็นว่านางมาที่นี่ เขาดูจะมีความสุขกว่าได้เห็นลูกชายตัวเองมาเสียอีก
หยวนชิงหลิงกับฮู่เฟยออกไปเดินชมป่าเขาด้วยกัน ปล่อยให้สองคนพ่อลูกได้คุยเรื่องสำคัญกัน
อู๋ซ่างหวงพูดถูกจริง ๆ ท่านหมิงดูจะไม่ค่อยเข้าใจนัก เขาคิดว่าตอนนี้เจ้าห้าทำหน้าที่ของฮ่องเต้ได้ไม่เลวเลย ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองประชาชนร่มเย็นเป็นสุข เป่ยถังพัฒนาต่อเนื่องในทุก ๆ ด้าน ดังนั้นจึงไม่ควรเกษียณออกไปในช่วงเวลานี้
หยู่เหวินเห้าบอกกับเขาว่า เมื่อประเทศชาติพัฒนาไปได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
เขานั่งอยู่ในบัลลังก์มานานมากแล้ว ได้แต่แสวงหาความมั่นคงอยู่เสมอ เขากลัวปัญหาวุ่นวายภายในประเทศมาก แต่การไม่ทำอะไรเลย จะไม่สามารถทะลุขีดจำกัดจนฝ่าคอขวดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนคนรุ่นใหม่ไฟแรงขึ้นมาทำงาน
เขาเป็นฮ่องเต้ เมื่อไหร่ที่เขามีความคิดเช่นนี้ ข้าราชบริพารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของเขาก็จะค่อย ๆ ดำเนินรอยตามเขา ยึดติดกับแนวทางนั้น และไม่คิดค้นสิ่งใหม่ๆ
ท่านหมิงคิดว่าการที่ประเทศชาติมีเสถียรภาพ ไม่มีอะไรที่ไม่ดี ความมั่นคงย่อมหมายความว่าไม่มีปัญหา ประเทศชาติสงบสุขประชาชนร่มเย็น
เจ้าห้าบอกกับเขาว่า คำที่ว่าประเทศชาติสงบสุขประชาชนร่มเย็น ล้วนเป็นแค่การรายงานขึ้นมาจากบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำท้องถิ่นเท่านั้น เป็นการพิจารณาจากสถานการณ์โดยรวม แต่เพราะผู้คนต่างก็เป็นปัจเจกบุคคล นอกจากได้กินอิ่มท้องได้สวมใส่อุ่นกายแล้ว ยังควรต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุจำเป็นขั้นพื้นฐาน วัฒนธรรม อุดมการณ์ หรืออารยธรรม.....
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: บัลลังก์หมอยาเซียน
OMG ไม่คิดว่าจะอ่านจบ 2105 หน้าสุดปัง เรื่องสนุกมาก ดำเนินเรื่องได้น่าติดตาม มีความเรียลจนบางตอนมีน้ำตาซึมตามเพีาะความประทับใจ สนุกมากจริงๆทอยากให้มีภาคลูกไปบ้าง...
กลับมาอ่านอีกครั้ง สนุกจริง...
สนุกมากค่ะ มีต่อไหมคะ...
สองขาของหยู่เหวินเห้าก็คดงอคุกเข่าลงอย่างช่วยไม่ได้ เอ่ยอย่างไม่เต็มใจเลยสักนิดว่า “ลูกยินดียอมรับโทษทัณฑ์ที่เหลือของเสด็จพ่อ ชอบข้อความบทนี้ตลกดีคะพระเอก ตอน 394...
1...
1...
เพิ่งอ่านได้ 2ร้อยกว่าหน้า สนุกน่าติดตามมาก แต่ทั้งเรื่องมี2พันกว่าหน้า ทำไงจะอ่านจบ...
ขอบคุณผู้แต่ง และ novelones มากๆค่ะ ดีที่สุด อ่านรอบที่ 4 แล้วก็ยังสนุกครบรส ❤️...
เรื่องนี้ถือว่าสมบูรณ์มากสนุกต้นถึงจบ อยากให้เป็นซีรี่ย์...
สนุก ตลกดี เนื้อเรื่องชวนติดตามแต่คำผิดเยอะไปหน่อยค่ะ...