จอมนางข้ามพิภพ นิยาย บท 202

ทุกคนในสำนักราตรีเฝ้าระวังกันขึ้นมาทันที ถึงแม้พวกเขาจะเป็นพวกชั่วช้าสามานย์ แต่พลังการต่อสู้ไม่สามารถเทียบเคียงกับองครักษ์เงามังกรได้เลย พากันพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง

“ให้ตายเถอะ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ รีบพาเจ้าสำนักหนีไปทางลับซะ” ผู้อาวุโสผมขาวโพลนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา

ผู้ใต้บังคับบัญชาเจ็ดแปดคนแบกหนานเทียนหลินจากไปทันที ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหลือของสำนักราตรีก็ต่อสู้กับองครักษ์เงามังกรทันที แสงดาบเงากระบี่พร่างพราย ไอสังหารอันน่าเกรงขาม เลือดหลั่งเป็นแม่น้ำ

และด้านนอกของสำนักราตรีหน่วยกล้าตายซึ่งรับผิดชอบลาดตระเวนและปกป้องสำนักราตรีได้ยินเสียงสัญญาณเตือน ก็จะรีบกลับมาช่วยทันที ไม่คาดคิดว่าจู่ๆก็มีคนชุดดำกลุ่มหนึ่งบุกออกมาจากความมืด จู่โจมจนคนพวกนั้นรับมือไม่ทันทันที

หลงยีและคนอื่นๆที่ไล่ล่าหนานเทียนหลินอยู่ด้านใน ทันทีที่ออกมาก็เห็นชายชุดดำอีกกลุ่มหนึ่งกำลังฆ่ารัดคอคนของสำนักราตรี

หรือว่า ยังมีคนต้องการจะทำลายล้างสำนักราตรี

หลงยีมองแว๊บเดียวก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายคือองครักษ์ลับของดวงจันทร์ เห็นพวกเขาก็กำลังสังหารคนของสำนักราตรีเช่นกัน หลงยีไม่ถามอะไรทั้งนั้น เข่นฆ่าต่อไป

ในคืนนี้ องครักษ์เงามังกรกับดวงจันทร์ร่วมมือกัน แต่ละคนห้าวหาญชำนาญการต่อสู้ ลงมือโหดเหี้ยม โจมตีจนคนของสำนักราตรีแตกหนีกระเจิดกระเจิง ศพเกลื่อนกลาดไปทั่ว เลือดหลั่งเป็นแม่น้ำ

ผู้คนทั้งหมดในสำนักราตรีล้วนถูกสังหาร แต่ว่าหนานเทียนหลินกลับหนีไปได้อย่างไร้ร่องรอย พวกเขาค้นหาจนทั่วทุกที่แล้ว แต่ก็หาไม่พบ

ท้ายที่สุดหลงซื่อก็จุดไฟเผาทั่วทั้งสำนักราตรี เปลวไฟที่ลุกโชนส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้า สำนักราตรีองค์กรมือสังหารอันดับหนึ่งในยุทธภพที่เลื่องชื่อในสี่แคว้นล่มสลาย หายสาบสูญไปนับแต่นี้

......

ทางด้านนี้ ศาลาพักม้า

เริ่นเซวียนเอ๋อร์ได้ยินว่าหยุนถิงได้รับบาดเจ็บ ก็วิ่งเข้ามาพร้อมคาบข้าวโพดที่ยังกินไม่หมดเอาไว้ เพียงแต่ตอนที่มาถึงหน้าประตูลาน ถูกองครักษ์ขวางเอาไว้

“รีบหลีกทางไปเลย ข้ามาเพื่อช่วยหยุนถิง” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“องค์หญิงสามโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปแจ้งให้ซื่อจื่อทราบทันที” องครักษ์นายหนึ่งรีบเข้าไปรายงานทันที ชั่วครู่หลังจากนั้นก็ออกมา ให้เริ่นเซวียนเอ๋อร์เข้าไป

เมื่อเห็นหยุนถิงที่อยู่ในห้อง แม้แต่เริ่นเซวียนเอ๋อร์ก็สะดุ้งตกใจ “ทำไมนางถึงได้บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ใครที่มันเลวบัดซบเช่นนี้ ถึงกับลงมือกับผู้หญิงเช่นนี้ได้?”

“สำนักราตรี!” เสียงของจวินหย่วนโยวเย็นยะเยือกสุดขีด

“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสำนักราตรี? จวินหย่วนโยวเจ้าเก่งกาจมาไม่ใช่หรือ องครักษ์เงามังกรของเจ้าได้ชื่อว่าสามารถต่อสู้กับศัตรูหนึ่งต่อร้อยไม่ใช่หรือ ทำไมถึงปล่อยให้ผู้หญิงของเจ้าถูกทำร้ายเช่นนี้ นี่คือการตบหน้าเจ้าอยู่นะ” ขณะที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์จับชีพจรให้กับหยุนถิง ก็แขวะไปด้วย

สีหน้าของจวินหย่วนโยวที่เดิมทีก็เย็นชาเคร่งขรึมอยู่แล้ว เวลานี้นัยน์ตาสีดำก็ยิ่งเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมกระหายเลือดมากขึ้น อากาศรอบตัวเย็นยะเยือกจนถึงติดลบ

หากเป็นเวลาปกติ มีใครกล้าพูดเช่นนี้กับจวินหย่วนโยว เกรงว่าคงจะถูกจับโยนออกไปนอกลานนานแล้ว แต่เวลานี้จวินหย่วนโยวรู้สึกตำหนิตัวเอง ละอายใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ได้รู้สึกโกรธ

“ครั้งนี้เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของข้า ไม่ได้ปกป้องหยุนถิงให้ดี จะไม่มีครั้งหน้าอีกเด็ดขาด”

“คำพูดนี้เจ้าเอาไว้บอกกับหยุนถิงก็พอ ถึงแม้นางจะกินยาที่รักษาอาการบาดเจ็บภายในไปแล้ว แต่ต้องร่วมกับการฝังเข็มอังความร้อนถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ข้าจะฝังเข็มอังความร้อนให้นาง” ขณะที่เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวไป ก็หยิบเข็มเงินที่พกติดตัวออกมาจากกระเป๋า

“หยุดนะ!” สายตาเย็นชาของจวินหย่วนโยวมองไปทางนาง “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”

“หากข้าต้องการทำร้ายนาง จะไม่มาที่นี่หรอก ทักษะทางการแพทย์ของผู้หญิงของเจ้าไม่เลว ข้ารู้สึกชื่นชมอย่างมาก ยังคิดจะศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับนางเล็กน้อยอยู่เลย” เริ่นเซวียนเอ๋อร์ตอบอย่างเกียจคร้าน

จวินหย่วนโยวคิดแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ “ตกลง ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งหนึ่ง”

เข็มเงินที่อยู่ในมือของเริ่นเซวียนเอ๋อร์แทงเข้าไปในจุดฝังเข็มของหยุนถิงทันที สีหน้าจริงจัง ข้าวโพดก็ไม่กินแล้ว

จวินหย่วนโยวที่อยู่ด้านข้างสีหน้าจริงจัง มองดูอย่างระมัดระวัง หากนางกล้าทำอะไรที่เป็นผลร้ายต่อหยุนถิงแม้แต่นิดเดียว จวินหย่วนโยวจะไม่ปล่อยนางไปเด็ดขาด

จวินหย่วนโยวย่อมไม่ป้อนให้หยุนถิงอยู่แล้ว แต่วางเอาไว้บนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง

คนของสำนักราตรีสามารถแฝงตัวเข้ามาโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นได้ ในศาลาพักม้าแห่งนี้ต้องมีผู้ที่คอยประสานอยู่ภายในแน่นอน ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะแอบทำอะไรกับยาน้ำของหยุนถิงก็ได้ ดังนั้นยาน้ำถ้วยนี้ก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด

ระหว่างนั้น โม่เหลิ่งเหยียนก็มาอีกครั้งหนึ่ง เห็นว่าหยุนถิงยังคงไม่ได้สติ ก็จากไปอีก

ได้ยินมาว่าเริ่นเซวียนเอ๋อร์รักษาให้หยุนถิง โม่เหลิ่งเหยียนไปถามสถานการณ์กับนางโดยตรง ได้ยินว่าภายในหนึ่งถึงสองชั่วยามหยุนถิงก็จะตื่นมา โม่เหลิ่งเหยียนถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

“ซวนอ๋อง อย่าบอกนะว่าท่านก็ชอบหยุนถิงเหมือนกัน ถึงกับเป็นห่วงฮูหยินของจวินหย่วนโยวเช่นนี้ ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่มั้ง?” เริ่นเซวียนเอ๋อร์กล่าวหยอกล้อ

“ข้ารับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้สืบสวนเรื่องของสำนักราตรี และหยุนถิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสพอดี นางเป็นคนเดียวที่เคยเผชิญหน้ากับหน่วยกล้าตายของสำนักราตรี ข้ายังรอให้นางตื่นขึ้นมาและถามคำถามอยู่ กลับเป็นองค์หญิงสาม ท่านมาที่นี่ได้แจ้งต่อฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนจิ่วหรือไม่?” เสียงที่เย็นชาของโม่เหลิ่งเหยียนดังมา

เริ่นเซวียนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน รีบร้อนกล่าวเอาอกเอาใจ “ซวนอ๋องเมื่อครู่นี้ข้าแค่พูดจาเหลวไหลเท่านั้น ท่านก็ทำเหมือนข้าเป็นตดแค่ปล่อยข้าไปก็พอ ท่านก็แสร้งทำเป็นไม่เคยเห็นข้ามาก่อน”

สีหน้าของโม่เหลิ่งเหยียนไม่น่าดูขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตามีเจตนารังเกียจแว๊บผ่านไป

สงสัยจริงๆว่านางใช่องค์หญิงแห่งแคว้นหรือไม่ พูดจาหยาบคายเช่นนี้ โม่เหลิ่งเหยียนเหลือบมองนางด้วยความรังเกียจครู่หนึ่ง หันหลังก็จากไปเลย

เริ่นเซวียนเอ๋อร์ถึงได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ครั้งนี้นางแอบหนีออกมา หากเสด็จพ่อรู้เข้าต้องจับนางกลับไปแน่นอน ต่อไปนางไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าซวนอ๋องแล้ว

ไม่เกินสองชั่วยาม หยุนถิงก็ตื่นขึ้นมาจริงๆ

“หยุนถิง เจ้าตื่นขึ้นมาแล้วจริงๆ ช่างดีจริงๆ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ข้าจะส่งคนไปเรียกเริ่นเซวียนเอ๋อร์ทันที?” จวินหย่วนโยวตื่นเต้นดีใจ รีบร้อนถามนางทันที

หยุนถิงเอียงศีษระมองพิจารณาคนที่อยู่ตรงหน้า “ท่านเป็นใครน่ะ?”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ