จอมนางข้ามพิภพ นิยาย บท 969

“ว่าที่แม่สามีของใครกัน ข้าไม่รู้จักนางสักหน่อย!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พึมพำเสียงเย็นขึ้นมาประโยคหนึ่ง

“งั้นข้าวของด้านนอกประตูล่ะ แถมยังมีหมอตำแยกับแม่นมอีก จะทำยังไง?” หยุนถิงถามขึ้นมา

“ข้าวของก็โยนทิ้งไป ส่วนคนก็ไสหัวไปซะ!” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งอย่างโกรธเคือง แล้วก็ขึ้นชั้นบนไปเลย

หยุนถิงรู้ว่านางเป็นคนอารมณ์ร้อน จึงสั่งให้คนสลายตัว แล้วข้าวของก็ให้ขนกลับไปคืนให้กัวฮูหยิน

จ้าวเม่ยเอ๋อร์ที่กลับเข้ามาในห้องแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ นอนลงไปก็สบายใจ นั่งก็ไม่สบายตัว พอกลัดกลุ้มไปประมาณเวลาหนึ่งก้านธูปแล้ว สุดท้ายก็ไปที่จวนตระกูลกัว

แต่ว่านางไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่มาหาหลงซาน แล้วให้เขาพาตัวเองปีนขึ้นไปบนกำแพง

ผลปรากฏว่าพอขึ้นไปก็มองเห็นภาพในลาน ตรงหน้าอกและแผ่นหลังของกัวมู่ไป๋เต็มไปด้วยรอยเลือดนับไม่ถ้วน ส่วนนายท่านกัวก็กำลังถือแส้ไว้แล้วเฆี่ยนเขาสุดกำลังอยู่

“ทำไมเจ้าต้องถอนหมั้นด้วย?” นายท่านกัวตะคอกขึ้นมาอย่างโกรธเคือง

“ท่านพ่อ ชีวิตนี้ข้าจะรักแค่เม่ยเอ๋อร์คนเดียว ข้าไม่มีทางแต่งงานกับไป๋หลานรั่วเด็ดขาด!” กัวมู่ไป๋กัดฟันตอบกลับไป

“งั้นทำไมเจ้าต้องหมั้นกับนางด้วย?”

“เป็นเพราะว่าข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ และตกกับของไป๋หลานรั่ว!” กัวมู่ไป๋ยอมรับผิด

“เจ้าบอกว่าจะหมั้นก็หมั้น จะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นงั้นหรือ เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ” แส้ของนายท่านกัวเฆี่ยนลงไปอีกครั้ง

กัวฮูหยินเดินเข้ามา แย่งแส้ไปก็เฆี่ยนใส่เลย “เจ้าลูกชั่ว ทำไมถึงไม่รีบพาเม่ยเอ๋อร์กลับมาที่จวนโดยเร็ว นางท้องโย้ตัวคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะ นางตั้งครรภ์ลูกของเจ้าแล้ว เจ้ากลับยังมาหมั้นกับนังขี้โรคไป๋หลานรั่วอีก เป็นลูกผู้ชายยังไงกัน!”

จ้าวเม่ยเอ๋อร์ที่อยู่บนกำแพงนิ่งอึ้งไปเลย นางไม่รู้จักกัวฮูหยิน ซึ่งก็เคยเจอแค่ในงานหมั้นครั้งเดียวเท่านั้น และที่สำคัญก็ไม่ได้เป็นมิตรกันเท่าไหร่ด้วย แต่ทำไมอยู่ ๆ นางถึงมาช่วยพูดแทนตัวเองเช่นนี้

“ท่านแม่ ทำไมท่านถึง?” กัวมู่ไป๋เองก็มีสีหน้าตกตะลึง

“ตอนนั้นข้าก็ท้องเจ้าอยู่ ไปแย่งงานแต่งแบบท้องโย้ ถึงได้ไม่ให้พ่อของเจ้าแต่งงานกับนางหลิว ถึงได้แย่งตำแหน่งลูกคนโตมาให้เจ้าได้ ตอนนี้เม่ยเอ๋อร์ก็เป็นกับข้าในอดีต ในเมื่อข้ารู้เรื่องแล้วจึงจะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้” แส้ในมือกัวฮูหยินเฆี่ยนไปอีกครั้ง

กัวมู่ไป๋เจ็บจนกัดกรอก บนหน้าอกมีเลือดสด ๆ ไหลออกมาอีกระลอก แล้วกระอักเลือดออกมาจากปากคำหนึ่ง แล้วก็หน้ามืดหมดสติไปเลย

คราวนี้กัวฮูหยินลนลานขึ้นมาเลย “ลูก ลูก ใครก็ได้รีบไปตามหมอมา ท่านกัว ท่านนี่จริง ๆ เลย มู่ไป๋เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่านนะ ท่านกลับลงมือหนักขนาดนี้ เฆี่ยนลูกจนหมดสติไปเลย”

นายท่านกัวมีสีหน้าถูกปรักปรำ “ฮูหยิน หลายแส้ที่เฆี่ยนตอนหลังนั้น เจ้าเป็นคนเฆี่ยนเองนะ”

“งั้นที่เฆี่ยนตอนแรก ท่านไม่ได้เป็นคนเฆี่ยนหรือ”

นายท่านกัวไม่มีคำพูดจะเถียง พวกบ่าวรีบมายกตัวกัวมู่ไป๋กลับห้องไป

จ้าวเม่ยเอ๋อร์มองเห็นเขาเลือดเนื้อเละเทะไปทั้งตัว ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดมาก แล้วรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ก็เลยบอกให้หลงซานพาตัวเองกลับไปเลย

หยุนถิงเห็นนางกลับมาแล้วก็สีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงตรวจชีพจรให้นางดูด้วยความเป็นห่วง แล้วก็บอกความจริงเรื่องที่กัวมู่ไป๋กลัวว่านางจะตกอยู่อันตรายกับนางไป

พอจ้าวเม่ยเอ๋อร์ได้ยินก็ไม่อาจสงบนิ่งต่อไปได้อีก “ทำไมมีเรื่องถึงเผชิญหน้าไปด้วยกันไม่ได้?”

“เขากลัวว่าเจ้ากับลูกจะได้รับอันตราย ในเมื่อตอนนี้เจ้าเป็นสองชีวิต และใกล้จะคลอดแล้ว เขาจึงไม่กล้าให้เจ้ามาเสี่ยงอันตราย ตอนนี้เขาก็ถอนหมั้นไปแล้ว และเจ้าก็รู้ความลำบากใจของเขาแล้ว จะตัดสินใจยังไงก็แล้วแต่เจ้าละกัน” หยุนถิงพูดปลอบโยนขึ้นมา

“ทำไมเจ้าต้องบอกเรื่องพวกนี้กับข้าด้วย” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างกลัดกลุ้ม แล้วก็นอนลงไปเลย

พอนางตื่นขึ้นมา ฟ้าก็มืดไปแล้ว พอออกนอกประตูไปก็เห็นกัวมู่ไป๋ที่มาคุกเข่าอยู่หน้าประตู ใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากไม่มีสีเลือดเลย เสื้อผ้าบนตัวเขาถูกเลือดสด ๆ ย้อมจนแดงไปหมด เห็นแล้วทำให้รู้สึกหวาดกลัวมาก

จ้าวเม่ยเอ๋อร์เองก็รู้สึกถึงความร้ายแรงของเรื่องแล้ว “ไม่ก็ตระกูลเวินมีวิชาการแพทย์เหนือกว่าเจ้า หรือไม่ก็มีคนแอบเอายาสารภาพความจริงของเจ้ามอบให้ตระกูลเวินไป แล้วตระกูลเวินก็วิจัยยาสารภาพความจริงของเจ้า จนสามารถทำลายยาของเจ้าได้แล้ว”

“ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ก็หมายความว่าตระกูลเวินไม่ธรรมดาเลย บวกกับที่กัวมู่ไป๋พูดมา คาดว่าตระกูลเวินคงจะต้องมีการเคลื่อนไหวแล้ว” จวินหย่วนโยวที่เดินเข้ามาพูดเตือนขึ้น

“ในเมื่อเกี่ยวข้องกับตระกูลเวินทุกอย่าง หรือไม่ก็ไปดูกันสักเที่ยว ไปพบปะกับตระกูลเวินสักหน่อยก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ” หยุนถิงเปิดปากพูดขึ้นมา

“ไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ที่ด่านชายแดน อาจจะมีอันตรายก็ได้” จ้าวเม่ยเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเป็นห่วง

“วางใจเถอะ ข้าจะไปหาซวนอ๋องก่อน เมืองชิ่งหรวนอยู่ใกล้กับด่านชายแดน เขาน่าจะตรวจสอบข้อมูลบางอย่างได้แล้ว ที่นี่คงจะไม่มีอะไรให้ข้าช่วยแล้ว เดี๋ยวข้าจะทิ้งองครักษ์ลับส่วนหนึ่งไว้คุ้มครองความปลอดภัยให้เจ้า และกันตระกูลไป๋ไปด้วย ข้าจะบอกให้หมอกุ๋ยมาทำคลอดให้เจ้านะ” หยุนถิงพูดมาสองสามประโยคจัดแจงเรื่องราวทั้งหมด

“ไม่ต้องวุ่นวายขนาดนี้หรอก เจ้ารีบตามจวินซื่อจื่อไปเถอะ ดูแลลูกทั้งสองคนให้ดีด้วย ข้าคนเดียวไหวอยู่” จ้าวเม่ยเอ๋อร์บอกให้นางวางใจ

“ได้” แล้วหยุนถิงก็ออกเดินทางไปพร้อมกับพวกจวินหย่วนโยวเลย

ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้า แต่ว่าใช้บอลลูนเลย หยุนถิงใช้มิติสร้างบอลลูนขึ้นมาอีกหลายอัน แล้วก็สอนวิธีใช้ให้กับพวกหลงเอ้อ แล้วทั้งหมดก็ขึ้นบอลลูนจากไปเลย

เพราะว่าไม่มีอะไรเร็วกว่าการบินอยู่บนท้องฟ้า และที่สำคัญก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอะไรด้วย

ห้าวันให้หลัง พวกหยุนถิงก็มาลงจอดที่นอกเมืองเมืองชิ่งหรวน แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไปกัน เพราะว่าบอลลูนมันทันสมัยเกินไป ถ้าเกิดถูกคนไม่หวังดีเอาไปใช้เข้าก็จะเกิดผลที่ไม่อยากจะคิดตามมา

พอพวกทหารเห็นกลุ่มจวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยมา ก็รีบพาพวกเขาไปพบซวนอ๋องเลย

วินาทีที่จวินเสี่ยวเหยียนมองเห็นโม่เหลิ่งเหยียน ก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ไป แล้วโผเข้าไปในอกของโม่เหลิ่งเหยียน แล้วร้องไห้เสียงดังขึ้นมา

คราวนี้โม่เหลิ่งเหยียนมึนงงไปเลย แล้วก็ยื่นมือไปตบหลังจวินเสี่ยวเหยียนโดยอัตโนมัติ “เสี่ยวเหยียน เป็นอะไรหรือ ทำไมถึงร้องไห้แบบนี้ มีใครรังแกเจ้าหรือ เดี๋ยวข้าจะช่วยเจ้าสั่งสอนมันเอง!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จอมนางข้ามพิภพ