บทที่ 47
ตฤณสวนกลับด้วยการตบหน้าภรรยาอย่างเดือดดาล ทำเอาคนถูกตบทรุดลงไปกองกับพื้น แต่เหมือนความโมโหของอีกฝ่ายจะไม่จบแค่นั้น เมื่อมันยังตามลงไปตบเธอซ้ำๆ แน่นอนว่าผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ทำได้แค่ร้องครวญคราง ประหนึ่งสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังถูกทารุณกรรม กระทั่งตอนนี้เองที่ทำให้เธอได้นึกถึงน้องสาว แววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของมีนาวันนั้น เด่นชัดในดวงตาคู่นี้อีกครั้ง ก็ได้แต่หวังว่าน้องสาวจะให้อภัยเธอในสักวัน
“พี่มัดขา หลังทำการบ้านเสร็จเราเล่นอะไรกันต่อดีคะ” เด็กน้อยยื่นหน้ามาถามคนที่นั่งอยู่บริเวณโซนด้านหน้าข้างๆ คนขับ ขณะกำลังพากันกลับไปกินข้าวที่บ้าน
“อืม…เล่นกับลัคกี้ดีไหมคะ” คำตอบของเธอทำเอาคนที่กำลังขับรถถึงกับเลิกคิ้วทันที
“เลิกกลัวมันแล้วเหรอ เห็นเมื่อก่อนกลัวหมาอย่างกับอะไรดี กลับทีไรก็เดือดร้อนฉันทุกที” ก็ไม่รู้ว่าการที่เธอเลิกกลัวหมา เขาควรดีใจหรือเสียดายมากกว่ากัน
“หมาตัวอื่นก็ยังกลัวอยู่ แต่กับลัคกี้เราผูกมิตรกันแล้ว รับรองไม่มีขี่คอให้คุณต้องเดือดร้อนอีกแน่” เธอกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความภาคภูมิ เมื่อวิธีการผูกมิตรด้วยขนมได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ก็อุตส่าห์ลงทุนพกขนมน้องหมาติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลาเลยนี่นา
“เย่! พี่มัดกับลัคกี้เป็นเพื่อนกันแล้ว” จันทร์เจ้าชูสองมือด้วยความดีใจ กระทั่งรถเคลื่อนมาจอดที่หน้าบ้าน สีหน้าของเด็กน้อยก็เปลี่ยนไป
“คุณมีแขกเหรอ ให้ฉันกลับไปก่อนดีไหมคะ” มีนาบอกด้วยความเกรงใจ หลังเห็นว่าหน้าบ้านเขามีรถที่ไม่คุ้นตาจอดอยู่ แน่นอนว่าการมาบ้านหลังนี้หลายครั้ง ทำให้เธอจำรถที่นี่ได้หมดทุกคัน จึงคิดว่าเขาอาจจะไม่สะดวกให้เธอเข้าไป
“ไม่ใช่แขกสำคัญอะไร ตีรณาน้องสาวแม่ของจันทร์เจ้าน่ะ” เธอเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมของเขาก็แปลกใจ อีกทั้งหนูน้อยที่เคยเจื้อยแจ้วก่อนหน้าก็กลายเป็นนิ่งขึง ไม่พูดไม่จา ราวกับว่ากำลังกลัวอะไรสักอย่าง
‘อา…ดูเหมือนการมาของผู้หญิงคนนี้จะไม่ธรรมดาซะแล้ว’ เห็นอาการของสองพ่อลูกแล้ว เธอก็อดคิดไม่ได้
“จันทร์เจ้าคะ เราเข้าไปข้างในกันดีกว่า ป่านนี้ลัคกี้รอแล้วมั้ง” เห็นหนูน้อยเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมลงจากรถ เธอจึงยื่นมือไปรับ
“ไม่ว่าหนูกำลังกลัวอะไรอยู่ พี่มัดสัญญาว่าจะปกป้องหนูเอง ตกลงไหม” เมื่อหนูน้อยยังคงนั่งนิ่ง เธอจึงพยายามพูดปลอบ ซึ่งก็ดูจะได้ผล เมื่อหนูน้อยยอมยื่นมือมาจับ แต่ก็เลือกที่จะยืนหลบอยู่ด้านหลังเธอตลอด กระทั่งเสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“จันทร์เจ้า” เสียงที่ดังขึ้นทำให้เด็กน้อยสะดุ้งจนมีนารู้สึกได้ จึงบีบมือหนูน้อยเบาๆ เพื่อปลอบประโลม
“สวัสดีค่ะพี่เจตต์ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พี่ยังดูดีเหมือนเดิมเลยนะคะ แต่ดูพี่ไม่ค่อยดีใจเลยนะคะที่ได้เจอณา” ตีรณาเข้ามากอดทักทายแบบตะวันตก ด้วยเธอนั้นทำงานคลุกคลีอยู่กับชาวต่างชาติเป็นหลัก
“ก็ไม่นี่ เธอก็รู้ว่าพี่ไม่ได้ยินดียินร้ายกับการมาของเธอสักเท่าไหร่” เขาตอบโดยไม่แยแสท่าทางของอีกฝ่าย
“งั้นพี่ก็ควรจะยินดีซะตั้งแต่ตอนนี้ เพราะณาจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยถาวร แล้วก็หวังว่าบ้านนี้จะยังต้อนรับณา โดยเฉพาะพี่” ตีรณาจับจ้องไปที่ดวงหน้าเจตต์อย่างหมายมาด ขณะที่ยื่นมือไปแตะที่อกเสื้อเขาพลางลูบไล้ไปมา
“อะไรของเธอ”
“ฉันมีเรื่องอยากจะถาม เพราะคำตอบฉันมันขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ” หัวคิ้วเขาขมวดมุ่นด้วยความสงสัย ในขณะเดียวกันคนที่กำลังรอคำตอบอย่างตีรณาก็ร่ำร่ำจะทนไม่ไหว กับท่าทีที่ดูสนิทสนมกันของทั้งสองคน
“คุณว่าฉันควรสลัดเนื้อชิ้นนี้ทิ้ง แล้วหาเนื้อชิ้นใหม่มาแทนดีไหม” แน่นอนว่ามีแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเนื้อที่เธอหมายถึงมันไม่ใช่เนื้อ แต่มันคือเขา ซึ่งดูเหมือนเขาเองก็กำลังชะงักไปกับคำถามนี้
“แล้วทำไมถึงคิดจะทิ้งเนื้อชิ้นนี้ซะล่ะ” เขาอดสงสัยไม่ได้
“ก็เนื้อชิ้นนี้มีคนต้องการมากเกินไป ฉันกลัวแย่งเขาไม่ทัน สู้ปล่อยไปแล้วไปหาเนื้อชิ้นใหม่จะได้ไม่เสียเวลา”
“ให้ตายสิ! เธอเป็นคนยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เนื้อที่มีแต่คนอยากได้ แปลว่าเนื้อชิ้นนั้นดีมีคุณภาพ หรือเธออยากกินเนื้อที่ไม่มีคุณภาพ ที่สำคัญเนื้อชิ้นนี้ก็อยู่ในปากเธอแล้วครึ่งหนึ่ง หรือเธอจะคายมันออกมา” เขาขึ้นเสียงด้วยความฉุนเฉียว เมื่อแม่คุณทำท่าจะเหมือนจะยอมแพ้จริงๆ
“เหรอ? อยู่ในปากฉันแล้วเหรอ ทำไมฉันไม่เห็นรู้รสชาติเลยล่ะ” เธอทำท่าขบคิดอีกครั้ง
“เพราะเธอมันลิ้นจระเข้ไงล่ะ” เขากระชากเสียงใส่อย่างคนหัวเสีย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จะอ่อยให้คุณรักหัวปักหัวปำ