จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 240

ในระหว่างการเดินทางไปสำนักคุนหลุนด้วยรถม้าที่ยึดมาจากศัตรู จ้าวเทียนก็สอบถามเรื่องราวต่างๆของสำนักคุนหลุนจากเจียงลี่ ซึ่งเธอก็ได้เล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด

ทั้งเรื่องสถานการณ์ปัจจุบัน ขนาดของกองกำลัง หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ทำให้จ้าวเทียนรู้เลยว่า อีกฝ่ายกำลังหวังให้เขายื่นมือเข้าช่วยเหลือในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง ตามคำพูดของชายชราฝ่ายศัตรูที่ฆ่าตัวตายไป

ในตอนนี้สำนักคุนหลุนนั้นกำลังตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อแรกคือเจ้าสำนักได้หายสาบสูญไปถึงแปดปี ส่วนข้อที่สองตอนนี้ในสำนักคุณหลุนได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันเอง

เรื่องเกิดมาจากรองเจ้าสำนัก ไม่ยอมให้มีการแต่งตั้งเจ้าสำนักคนใหม่ ทั้งยังประกาศให้เก็บตัวจากโลกภายนอกนานถึงแปดปี ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่พอใจ

ในตอนแรกที่ทุกคนยังทำตามคำสั่ง ก็เพราะเบื้องหลังของรองเจ้าสำนักยังมีผู้อาวุโสสูงสุด ซึ่งเป็นเซียนขั้นสูงสุดอยู่ แต่ทว่าเมื่อปีก่อน ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ได้สิ้นอายุขัยไปแล้ว

เดิมทีสำนักคุนหลุนมีเซียนขั้นสูงสุดอยู่สองคน ก็คือเจ้าสำนักเหยียนซืออู่ และผู้อาวุโสสูงสุดเหยียนโส่ว เมื่อขาดทั้งสองคนไป ทำให้ตระกูลเหยียนไม่สามารถควบคุมอำนาจไว้ได้อีก

เนื่องจากตระกูลเปียน ซึ่งเป็นตระกูลอันดับสองในสำนักคุนหลุน มีเซียนขั้นสูงและเซียนขั้นกลางมากกว่าตระกูลเหยียน พวกเขาจึงใช้อำนาจเข้ากดดันทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนัก

“ เธอกำลังสงสัยว่า…คนทรยศที่ขายข้อมูลของพวกเธอให้กับฝ่ายตรงข้าม เป็นคนจากตระกูลเปียนเหรอ ” จ้าวเทียนถามขึ้น

“ ใช่แล้วค่ะ…มีแต่พวกเขาเท่านั้น ที่เป็นศัตรูกับตระกูลเหยียน และมีแรงจูงใจมากพอ ” เจียงลี่ตอบด้วยความมั่นใจ

จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ จากนั้นเขาก็อธิบายให้อีกฝ่ายฟัง

“ จากที่เธอบอกมา…ตอนนี้ตระกูลเปียนได้กุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้แล้ว รออีกไม่นานก็จะสามารถบรรลุจุดประสงค์ได้แน่นอน พวกเขาไม่มีเหตุผลที่ต้องทำอะไรเสี่ยงๆแบบนี้ ”

“ การทรยศพวกเดียวกันเอง แล้วขายข้อมูลให้กับศัตรูนั้น หากถูกเปิดเผยออกไป นอกจากจะเสื่อมเสียชื่อเสียงแล้ว ยังจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนอีกด้วย ”

“ อีกอย่างหนึ่ง…เธอเองก็ได้ยินที่พวกศัตรูบอกใช่ไหม เป้าหมายของพวกเขาก็คือการลบสำนักคุนหลุนออกไป และไม่ปล่อยให้มีคนรอดชีวิต ”

“ ซึ่งบทสรุปแบบนี้…ตระกูลเปียนไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่จ้าวเทียนพูดมา เจียงลี่ก็ก้มหน้าลงด้วยความอับอาย เธอใช้อารมณ์ส่วนตัวมากเกินไป จึงไม่ได้คิดวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วน

“ ฉันถามอะไรหน่อย…เด็กสองคนนี้เป็นใครเหรอ ทำไมอีกฝ่ายถึงต้องลงทุนไปลักพาตัวมาด้วย ” จ้าวเทียนถามด้วยความแปลกใจ

เพราะจากที่ได้ยินมา เหมือนว่าพวกสำนักซงซานต้องการใช้ประโยชน์จากเด็กสองคนนี้ในการจัดการสำนักคุนหลุน

“ เรื่องนี้…ฉันบอกไม่ได้ แต่หากพวกเราไปถึงสำนักคุนหลุนแล้ว ผู้อาวุโสก็จะรู้ได้เอง ” เจียงลี่พูดออกมาด้วยท่าทีขอโทษ ในอดีตเธอได้ให้คำสัตย์ไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป

จ้าวเทียนที่ได้ยินแบบนั้น ก็ไม่ได้ถามเอาคำตอบอีก เขาเปลี่ยนมาสนใจเด็กทั้งสองคนแทน ซึ่งเด็กทั้งคู่ก็กำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เป็นประกาย

‘ สองคนนี้…คู่แฝดงั้นเหรอ ’

เด็กชายหญิงทั้งสองคน มีหน้าตาที่เหมือนกันถึงแปดส่วน แตกต่างกันแค่ทรงผมและเพศเท่านั้น

ฝ่ายเด็กผู้ชายเมื่อเห็นว่าจ้าวเทียนมองมาทางเขา ก็เริ่มมีความกล้าขึ้นมา

“ คุณลุง…เป็นเซียนเหรอ ”

!!

ลุงเหรอ…

จ้าวเทียนรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ ตอนนี้เขาเพิ่งมีอายุยี่สิบปีเท่านั้น การถูกเรียกว่าลุงนี่มันเกินจะรับไหวจริงๆ

อันที่จริงจะโทษเด็กชายก็ไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ยอดฝีมือที่บรรลุขอบเขตเซียนในสำนักโบราณก็มักจะมีอายุเกินห้าสิบปีไปแล้ว มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดกรณีแบบจ้าวเทียนขึ้นมา

“ ใช่แล้ว…ฉันเป็นเซียนจริงๆ ” จ้าวเทียนพยายามตอบด้วยน้ำเสียงที่เป็นปกติ เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่เด็กสองคนนี้ดูไม่เกรงกลัวเขาเลย ทั้งที่เห็นเขาตัดหัวพวกคนชุดดำไปต่อหน้าต่อตา

แม้แต่เจียงลี่เองก็รู้สึกกลัวจ้าวเทียนอยู่ลึกๆในใจ ต่อให้พยายามปกปิดไว้ไม่แสดงออก แต่แววตาหวาดระแวงของเธอ ไม่อาจปิดบังจ้าวเทียนได้

‘ เด็กสองคนนี้มีโครงสร้างร่างกายที่ดีมาก…ทั้งยังมีแววตาเฉลียวฉลาด ผิวพรรณขาวเนียนกระจ่างใส คงจะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยโอสถล้ำค่า พวกเขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ’

‘ คาดว่าเมื่อเริ่มฝึกฝน ก็คงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกไม่ถึงห้าปี ก็อาจจะสำเร็จเป็นปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดาย ’

เมื่อลองเปรียบเทียบกับจ้าวเทียน ที่ต้องต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรทุกอย่างมาด้วยความสามารถของตัวเอง ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่บอกไม่ถูกขึ้นมา

“ คุณลุง…ทำยังไงกระบี่ถึงบินได้ล่ะ มันสุดยอดมากเลยนะ ” เด็กชายถามต่อด้วยแววตาเป็นกระกาย เขารู้สึกว่าจ้าวเทียนเท่มาก เขาปล่อยกระบี่บินออกไปทีเดียว ก็สังหารพวกคนไม่ดีจนหมด

“ เอ่อ…มันเป็นเคล็ดวิชาส่วนตัวของฉันเอง ” จ้าวเทียนตอบตามตรง ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า คำตอบนี้มันได้ไปกระตุ้นความสนใจของอีกฝ่ายมากกว่าเดิม

“ คุณลุง…ช่วยสอนผมหน่อยได้ไหม ผมอยากเก่งเหมือนคุณลุงบ้าง จะได้จัดการพวกคนไม่ดีได้ ” เด็กชายพูดขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง เขาลุกขึ้นมาพยายามคุกเข่าลงตรงหน้าจ้าวเทียน เหมือนต้องการฝากตัวเป็นศิษย์

“ หนูด้วย…สอนหนูด้วยนะคะ หนูก็อยากใช้กระบี่บินจัดการพวกคนไม่ดีเหมือนกัน ” เด็กหญิงที่เห็นแบบนั้น ก็รีบทำตามทันที

อีกทั้งเธอยังใช้ความน่ารักของตัวเองให้เป็นประโยชน์ ด้วยการทำหน้าออดอ้อนจ้าวเทียนอย่างเต็มที่

ด้วยความที่พื้นที่ภายในรถม้าคับแคบมาก ต่อให้เด็กทั้งสองคนจะตัวเล็กขนาดไหน ก็ไม่สามารถคุกเข่าได้เต็มที่

สภาพที่เกิดขึ้นจึงคล้ายกับว่าเด็กทั้งสองนั่งกอดขาจ้าวเทียนคนละข้างแทน โดยมีส่วนคางของพวกเขา วางเกยอยู่บนเข่าของจ้าวเทียน

“ คุณไม่ต้องเป็นห่วง…เจียงลี่ส่งข่าวมาบอกแล้วว่าทุกคนปลอดภัย ทำใจให้สบายเถอะ” หญิงชราคนหนึ่งพูดปลอบขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน

“ ฉันรู้ดี…แต่พวกเขาเพิ่งมีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น กลับต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ถ้าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมาจริงๆ ฉันจะมีหน้าไปพบลุงเป่าในปรโลกได้อย่างไร ” หญิงงามวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยแววตาโศกเศร้า

จนกระทั่งเมื่อรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอด มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นทันที

ฝ่ายจ้าวเทียนที่เดินลงจากรถม้ามาเป็นคนแรก เขาก็รู้สึกแปลกใจที่พบเห็นคนมากมายออกมายืนต้อนรับ

‘ มีเซียนอยู่สิบสองคน ส่วนที่เหลือก็เป็นปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ’

จ้าวเทียนพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพอใจ อย่างน้อยตระกูลเหยียนก็ยังมีความแข็งแกร่งเหลืออยู่มาก แม้ว่าทั้งสิบสองคนนั้นจะเป็นเซียนขั้นต่ำถึงแปดคนก็ตามที

ทันใดนั้น

!!

แผ่นหลังของจ้าวเทียนสั่นสะท้าน สายตาของเขาหยุดอยู่ที่หญิงงามวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง

แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอ จะแตกต่างไปจากในความทรงจำของเขาเล็กน้อย แต่เขาก็สามารถจดจำได้ทันที

‘ แม่…ของฉัน ’

ตอนนี้จ้าวเทียนไม่ได้สนใจ ว่าทำไมแม่ของเขาถึงกลายเป็นเซียนขั้นสูง แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาคือจอนผมสีขาว กับรอยย่นตรงหางตา

เวลาเพียงแปดปี กลับทำให้แม่ของเขาดูแก่ชราลงอย่างรวดเร็วได้ถึงขั้นนี้…

ดวงตาของจ้าวเทียนเริ่มเปียกชุ่ม ริมฝีปากของเขาขยับออก เหมือนต้องการจะพูดคำๆหนึ่งออกมา มันเป็นคำที่เขาอยากจะเรียกมาตลอดแปดปี

“ แม่.. ”

แต่ทันใดนั้น

“ แม่ครับ ”“ แม่คะ”

เด็กทั้งสองคนร้องเรียกขึ้นพร้อมกัน แล้วรีบวิ่งเข้าไปกอดหญิงงามวัยกลางคนด้วยความยินดี ซึ่งเธอเองก็ก้มลงกอดทั้งสองคนเช่นกัน ทั้งยังหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความดีใจอีกด้วย

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จ้าวเทียนรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มลงมา เขาเซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้

‘ พวกเขา…เป็นลูกของแม่งั้นเหรอ ’

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน