จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน นิยาย บท 389

บ่ายวันนี้ หลังจากจ้าวเทียนแยกตัวออกมาจากพวกโซเฟีย และเข้าพบกับหลินซินเยว่ได้ไม่นาน ก็ได้เกิดเรื่องใหญ่ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งโลกขึ้น

ประเทศทั้งสามอันได้แก่ ญี่ปุ่น ไอซ์แลนด์และอียิปต์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของตำนานเทพเจ้าในศาสนาหรือลัทธิความเชื่อต่างๆ ได้ประกาศออกมาว่าจะทำพิธีกรรมอัญเชิญเทพเจ้าให้จุติลงมาบนโลกมนุษย์

อีกทั้งเรื่องนี้ ยังมีการถ่ายทอดสดออกไปทั่วโลก ให้นานาประเทศได้ชมอีกด้วย

“ นี่มันบ้าชัดๆ คนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่ เหตุผลที่สังคมของผู้ฝึกตนและผู้มีพลังพิเศษถูกเก็บซ่อนไว้จากสายตาของชาวโลก ก็เพื่อไม่ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไม่ใช่เหรอ ” เฉิ้นจิ้งพูดออกมาเสียงดังด้วยความไม่พอใจ

“ แปลกมาก…อเมริกาปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน หรือไม่กลัวว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจ เพราะด้วยความสัมพันธ์กับโลกทิพย์แห่งสายฟ้าและเปลวเพลิง พวกเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ”

“ เทพเจ้าที่ทั้งสามประเทศกล่าวอ้าง ก็คือตัวแทนจากสำนักนิกายบนแดนสวรรค์ ที่จุติลงมาเพื่อแย่งชิงสมบัติในโลกมนุษย์ ” หวังซินหยางวิเคราะห์ออกมา เพราะตามนิสัยที่ชอบยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้งของอีกฝ่ายแล้ว ไม่น่าจะวางเฉยปล่อยให้มีมหาอำนาจคนใหม่ปรากฏขึ้นมาง่ายๆ

“ ดูจากการขั้นตอนของพิธีกรรมแล้ว ผู้ที่จุติลงมาย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน บางทีอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าธันเดอร์ในตอนนั้นเสียอีก เราจะปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จไม่ได้เป็นอันขาด ”

“ ให้ฉันเป็นคนลงมือไหม เริ่มจากประเทศญี่ปุ่นที่อยู่ใกล้ที่สุด หากใช้พลังเต็มที่แค่หนึ่งชั่วโมงก็ไปถึง อย่างน้อยก็ถือเป็นการลดศัตรูไปในตัว ” กงเสี่ยวเหมยเสนอทางเลือกออกมา

“ ทำแบบนั้นไม่ได้นะครับ ตอนนี้พิธีกรรมจุติเทพได้ถูกประกาศออกไปแล้ว และกำลังการถ่ายทอดสดอยู่ด้วย หากพวกเราลงมือต่อหน้าพยานรู้เห็นมากมาย ก็จะถูกนานาประเทศกล่าวโทษแน่นอน ” หวังซินหยางรีบห้ามขึ้นทันที

เพราะเท่าที่เห็นในจอภาพ อีกฝ่ายมียอดฝีมือระดับเอสสองคนในรายชื่อเฝ้าระวังของหน่วยพิเศษ กำลังทำการคุ้มกันศาลเจ้าที่ใช้ประกอบพิธีอย่างแน่นหนา

เขารู้ดีว่าต่อให้กงเสี่ยวปิดบังตัวตนเอาไว้ แต่เวลาเกิดการต่อสู้ขึ้นมา ก็ต้องเผยเบาะแสให้สืบสาวมาถึงตัวได้อยู่ดี

“ แล้วถ้าพวกเราใช้เขตแดนปิดกั้น ตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดของพวกเขาล่ะ จากนั้นก็ค่อยลงมือพร้อมกันในเวลาที่น้อยที่สุด ไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งตัว ” ลี่เหยาเหยาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

เธอมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับกงเสี่ยวเหมย ว่าต้องการลดจำนวนศัตรูลง เพราะไม่ต้องการเห็นจ้าวเทียนต้องเสี่ยงอันตรายอีกแล้ว

ทั้งลี่เหยาเหยา กงเสี่ยวเหมยและแกนนำคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องทำงานของจ้าวเทียนต่างก็พูดคุยออกความเห็นกันมากมาย แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป ว่าพวกเขาควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี

ทันใดนั้น

แวบ!

ประตูมิติที่ชั้นหนังสือเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของจ้าวเทียน คังหลิน และหลินซูซินในร่างตุ๊กตาหมี

“ บอสครับ เกิดเรื่องแล้ว ”

“ พวกเราจะทำยังไงดี ”

ก่อนที่ทุกคนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ จ้าวเทียนก็ยกมือห้ามไว้ เพราะเขาได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นทุกอย่างจากท่านอาจารย์แล้ว แถมเธอยังบอกข้อมูลของผู้ที่จุติลงมาอย่างละเอียดอีกด้วย

“ ครั้งนี้พวกเราจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น หวังซินหยางติดต่อไปหากองทัพให้ฉันที บอกให้ยกระดับการป้องกันบริเวณชายแดน และเรียกตัวกองกำลังของพวกเราที่ประจำการในสามประเทศนั้นกลับมาให้หมด ”

“ ตกลงครับ ผมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้ ” หวังซินหยางรับคำอย่างจริงจัง และขอตัวออกไปทันที

“ เฉินจิ้ง นายรีบติดต่อหาเจ้าสำนักทุกคนที่เข้าร่วมหน่วยงานของเรา บอกให้มาพบฉันที่นี่ในอีกสองชั่วโมงให้หลัง เน้นย้ำพวกเขาด้วยว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ให้ยกเลิกภารกิจอื่นๆไปก่อน ”

“ ได้เลยครับบอส ” สิ้นเสียงร่างของเฉิ้นจิ้งก็บินหายไปจากในห้อง เขาต้องรีบกลับไปยังกองบัญชาการ เพื่อใช้คำสั่งเรียกระดมพลฉุกเฉิน เพราะเวลาสองชั่วโมงมันน้อยมาก เมื่อเทียบกับการตามตัวเจ้าสำนัก ที่ติดตามพวกเขาออกมาจากโลกหมิงหลงถึงเกือบร้อยคน

เมื่อสั่งงานเสร็จแล้ว จ้าวเทียนก็กวาดตามองทุกคนที่เหลือด้วยแววตาเคร่งเครียด พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ พวกเราคงต้องเผชิญกับศึกหนักแน่นอน เพราะตอนนี้หากไม่นับสำนักดาราสวรรค์ของฉัน สามในหกของขุมกำลังชั้นยอดบนแดนสวรรค์ที่เหลือได้เคลื่อนไหวแล้ว ”

“ อีกทั้งยังเป็นอันดับสอง อันดับสี่และอันดับห้า บนศิลาเกียรติยศในยุคปัจจุบันอีกด้วย ”

!!

คำพูดของจ้าวเทียนทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันที เพราะต่างก็รู้ดีว่าเหตุผลที่สำนักดาราสวรรค์ได้อยู่ในอันดับที่เจ็ดของศิลาเกียรติยศ ก็เพราะมีค่ายกลกระบี่ยี่สิบแปดดาราปกป้องอยู่ ทำให้ยังไม่ถูกลบชื่อออกไปแม้จะผ่านเวลามาหลายยุคสมัย

แต่ถ้าเทียบในเรื่องขุมกำลังที่แท้จริง สำนักดาราสวรรค์ถูกจัดอยู่ในระดับกลางๆ เทียบไม่ได้กับสำนักระดับสูงด้วยซ้ำ

ร่างของหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ที่มีใบหน้างดงามเหมือนถอดแบบออกมาจากพิมพ์เดียวกันก็ข้ามประตูมิติเข้ามายังโลกมนุษย์ได้สำเร็จ

นิกายราชันสุริยันจันทรา อันดับสี่แห่งศิลาเกียรติยศแดนสวรรค์ได้มาถึงแล้ว…

ในเวลาเดียวกัน ณ ประเทศอียิปต์

บริเวณพีระมิดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนทะเลทรายสีทอง ตอนนี้กำลังเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจำนวนมาก พวกเขาต่างพากันคุกเข่าก้มหัวแนบติดกับพื้นแน่นิ่งไม่ไหวติง ซึ่งเป็นการทำความเคารพสูงสุด

ตรงเส้นทางที่มุ่งตรงไปยังพีระมิด ได้มีขบวนผู้ประกอบพิธีกรรมนับร้อย กำลังถือพานทูนของสิ่งหนึ่งเอาไว้บนหัว มันมีลักษณะเป็นก้อนสีแดงขนาดเท่าหนึ่งกำมือ

ซึ่งถ้าหากมองดูดีๆจะพบว่ามันกำลังยุบเข้าและพองออก ด้วยจังหวะที่ทุกคนคุ้นเคย เพราะสิ่งนี้ก็คือหัวใจของมนุษย์ที่กำลังเต้นอยู่ ทั้งยังเป็นของผู้มีพลังระดับสูงเก้าสิบเก้าคน ที่ยินยอมพลีชีพควักออกมาด้วยตนเองอีกด้วย

พวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า…การเสียสละตนในครั้งนี้ จะทำให้ได้จุติใหม่เป็นเทพในชีวิตหลังความตาย

วูป! ครืนนนน!

เมื่อเครื่องเช่นสังเวยทั้งหมดถูกวางไว้บนยอดพีระมิด เสาลำแสงสีทองก็ระเบิดออกมาพุ่งทะลุท้องฟ้าเบื้องบนเกิดเป็นประตูบานหนึ่งที่กำลังแง้มเปิดออกมา ปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทำให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน

“ ตัวข้าผู้สืบเชื้อสาย ขอน้อมอัญเชิญเทพเจ้าผู้สูงส่งให้จุติลงมาบนพิภพ นำพาพวกเรากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครั้ง ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง เขาสวมชุดฟาโรห์ที่ถูกสร้างมาจากทองคำบริสุทธิ์สะท้อนแสงอันเจิดจ้าออกมา

บูมมมม!

เครื่องสังเวยทั้งหมดระเบิดเป็นจุล เปลี่ยนเป็นคลื่นพลังงานแล้วถูกดึงดูดเข้าไปในประตูแห่งเทพ ทำให้มันเปิดออกอย่างสมบูรณ์

จากนั้น ร่างของชายผิวเขียวไว้เครา ถือแส้และคทาหัวขอ ก็ก้าวออกมาจากประตูอย่างช้าๆ พร้อมกับสัญลักษณ์รูปตาชั่งสีทองที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง

เขาคือ เทพโอซิริสผู้ควบคุมชีวิตและความตาย หนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักสวรรค์อเวจี อันดับที่ห้าแห่งศิลาเกียรติยศ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน