วันต่อมาที่ประตูเขตแดนโลกทิพย์แห่งสัตว์อสูร ได้มีกลุ่มคนจำนวนมากมารอส่งจ้าวเทียน ประกอบไปด้วยแกนนำสมาชิกตระกูลปิงกู่ และเหล่าผู้อาวุโสของสำนักดาราสวรรค์ที่เลือกมารักษาการณ์ในโลกใบนี้
“ ลูกแม่ พวกเจ้าทั้งสองต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ห้ามดื้อห้ามซนเวลาอยู่กับนายน้อยสี่เด็ดขาด เมื่อใดที่แม่จัดการเรื่องราวทางนี้เรียบร้อยจะรีบไปหาพวกเจ้าแน่นอน ” ปิงกู่เหนียงเหนียงโอบกอดบุตรีทั้งคู่ด้วยความรัก
แม้เธอจะอยากอยู่ร่วมกับบุตรีขนาดไหน แต่ก็เข้าใจดีว่าหากเด็กน้อยทั้งสองยังอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีความสุข นอกจากจะกดดันโดยผู้คนรอบตัว ก็ยังอาจจะถูกลอบสังหารไม่เว้นแต่ละวัน เพราะทั้งจักรพรรดิโลกอสูรและราชินีไม่มีทางปล่อยให้มีเสี้ยนหนามอยู่ใกล้ตัวแน่
“ ท่านแม่ไม่ต้องกังวล พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านพ่อทุกอย่าง ”
“ ท่านแม่สัญญาแล้วนะ ว่าจะรีบมาหาพวกเราเร็วๆ ….อึกอึก…แง.. ”
แม้เด็กหญิงทั้งสองจะพยามฝืนกลั้นน้ำตาแค่ไหน แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากมารดาจริงๆ ก็เผลอร้องให้งอแงออกมาเป็นการใหญ่ จนทำให้ปิงกู่เหนียงเหนียงต้องรีบกล่าววาจาปลอบโยนอยู่หลายประโยค
ถึงแม้รูปลักษณ์ของพวกเธอจะเหมือนเด็กหญิงอายุห้าขวบ แต่ในความเป็นจริงเพิ่งถือกำเนิดมาได้เพียงแค่สี่วันเท่านั้น ทั้งคู่ยังอยู่ในวัยที่ต้องการความรักจากมารดา จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขนาดนี้
‘ เฮ้ออ คงดีไม่น้อยถ้าบุตรีทั้งสองของข้ายอมรับชายคนนั้นเป็นบิดา สถานการณ์ก็คงจะไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ ’
ปิงกู่เหนียงเหนียงลอบถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนที่พาปิงกู่ลั่วกับปิงกู่เยว่ไปตรวจสอบสายเลือดราชวงศ์ ที่พระราชวังจักรพรรดิท่ามกลางเหล่าขุนนางนับร้อย
นอกจากเด็กน้อยทั้งสองจะไม่ยอมคุกเข่าให้จักรพรรดิโลกอสูรแล้ว แม้แต่คำว่าพระบิดาก็ไม่ยอมเรียกออกมาซักคำ
นี่ยังไม่รวมถึงการที่พวกเธอได้ทำพันธสัญญาชีวิตกับมนุษย์อีกด้วย ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะมีฐานะสูงส่งแค่ไหน แต่นั่นก็ถือเป็นการละเมิดข้อห้ามของทางราชวงศ์อย่างรุนแรง ที่ผู้ถือกำเนิดในตระกูลจักรพรรดิจะต้องไม่ยอมสยบให้ผู้ใด
ด้วยเหตุนี้เอง ตำแหน่งองค์หญิงผู้ทรงเกียรติของพวกเธอ จึงถูกคัดค้านโดยเหล่าสมาชิกในราชวงศ์คนอื่น รวมไปถึงถูกต่อต้านโดยข้าราชบริพารขุนนางอำมาตย์หลายคน
หากไม่ใช่เพราะได้รับการสนับสนุนจากสำนักดาราสวรรค์ และสายเลือดกิเลนเนตรเพลิงสวรรค์ที่บริสุทธิ์เทียบเท่าบรรพบุรุษต้นกำเนิดของพวกเธอ ไปดึงดูดความสนใจขององค์จักรพรรดิรุ่นก่อนเข้า คงถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
“ ศิษย์น้อง เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ต้องให้สามผู้อาวุโสติดตามไปด้วย ” คังหลินถามย้ำขึ้นด้วยความเป็นห่วง เขารู้ว่าจ้าวเทียนเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้ดี
“ ไม่ต้องหรอกศิษย์พี่ เพราะหากมีพวกผู้อาวุโสติดตามไปด้วย ปลาก็ไม่กินเหยื่อกันพอดี ฉันเชื่อว่าโอกาสงามๆแบบนี้ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมพลาดแน่นอน ” จ้าวเทียนตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับเดินเข้าไปอุ้มเด็กหญิงทั้งสองขึ้นมา แล้วกระโดดไปเหยียบบนกระสวยทะยานดาราที่ถูกเตรียมไว้
“ นายน้อยจ้าว ได้โปรดช่วยดูแลความปลอดภัยของพวกนางด้วยเถิดนะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับพวกนางข้าคงมิอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป ” ปิงกู่เหนียงเหนียงโค้งตัวคารวะให้จ้าวเทียนอย่างนอบน้อม
เธอรู้ดี ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นจากข้อมูลที่สายลับในวังส่งกลับมาให้ แต่เพราะสถานการณ์ที่บีบคั้นทำให้ตระกูลของเธอมีทางเลือกไม่มากนัก
“ ไม่ต้องกังวล ตราบเท่าที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ จะไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามแตะต้องปิงกู่ลั่วกับปิงกู่เยว่แม้เพียงเส้นผม ” จ้าวเทียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ตัวเขามีคลังสมบัติลับอยู่กับตัว หากเกิดการต่อสู้ขึ้นก็แค่ส่งตัวเด็กหญิงทั้งสองเข้าไปด้านใน เท่านี้ศัตรูก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“ ท่านแม่… ”
“ ท่านพ่อ เราพาท่านแม่ไปด้วยไม่ได้เหรอ ”
“ ไม่ได้หรอก ท่านแม่ของพวกเธอก็มีภาระหน้าที่ของตัวเอง พวกเรารีบไปกันเถอะ ด้วยความเร็วของกระสวยทะยานดารา คาดว่าไม่เกินสองชั่วโมงก็ไปถึงโลกมนุษย์แล้ว ”
พูดจบ จ้าวก็สะบัดมือเบาๆ เกิดเป็นม่านพลังโปร่งใสปกคลุมร่างกายเด็กหญิงทั้งสองไว้ เพื่อปกป้องพวกเธอจากการเดินทางข้ามอวกาศ
ด้วยสายโลหิตแห่งราชันวิหคเงาอสูรแห่งยุคบรรพกาล ทำให้ตระกูลมู่มีความเชี่ยวชาญด้านสืบหาข่าวและการลอบสังหารเป็นพิเศษ ถือเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญที่จักรพรรดิโลกอสูรใช้ปกครองผู้คนจากเงามืด
“ กระหม่อมเองก็เห็นด้วยกับท่านเจ้าตระกูลมู่ ภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพรศาลที่เต็มไปด้วยภยันอันตรายมากมาย ต่อให้นายน้อยสี่ของสำนักดาราสวรรค์จะหายสาบสูญไป ขอเพียงทางเราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ก็ไม่มีใครมาเอาผิดได้ ”
“ ใช่แล้วพะยะค่ะ หากพระองค์ประทานหยดโลหิตสืบเชื้อสายและให้กระหม่อมส่งมือสังหารเงาอสูรทมิฬออกไปตอนนี้ ยังไงก็ต้องติดตามพวกองค์หญิงทันแน่ ”
เมื่อเห็นผู้นำสี่ตระกูลคิดเห็นตรงกัน จักรพรรดิอสูรเซียวหยูก็หัวเราะอย่างพึงพอใจ แล้วใช้เล็บกรีดไปที่ฝ่ามือตนเองเบาๆจนเลือดสีเงินไหลออกมาหนึ่งหยด
“ จงจำไว้ เรื่องในครั้งนี้เป็นแผนการที่พวกเจ้ารวมหัวกันคิดขึ้นมาเอง ทั้งตัวข้าและราชินีไม่ได้รู้เห็นด้วย ดีงนั้นหากพระบิดาข้าคิดสืบหาความจริงทีหลัง พวกเจ้าก็จัดการแก้ปัญหาเอาเองก็แล้วกัน ”
พูดจบ จักรพรรดิสูรเซียวหยูก็เสด็จกลับตำหนักไปพร้อมกับองค์รักษ์ข้างกาย ปล่อยให้ชายชราทั้งสี่นั่งเหม่อมองแผ่นหลังของพระองค์ด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ
“ ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ ตัวพระองค์นั่นแหละที่ต้องการให้องค์หญิงทั้งสองสิ้นพระชนม์มากที่สุด แต่กลับผลักหน้าที่นี้มาให้พวกเราโดยที่ตนเองไม่คิดรับผิดชอบต่อสิ่งใดแม้แต่น้อย ”
“ ระวังปากเจ้าไว้บ้าง ถึงอย่างไรตอนนี้พวกเราก็ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว หากตระกูลปิงกู่ช่วงชิงบัลลังก์ได้สำเร็จ คิดหรือว่าพวกมันจะปล่อยเราไป ” เจ้าตระกูลมู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา ก่อนจะรีบสั่งการไปยังกลุ่มมือสังหารให้เตรียมตัวเคลื่อนไหวทันที
ซึ่งในครั้งนี้ เจ้าตระกูลอย่างเขาตัดสินใจเป็นผู้นำขบวนตามล่าพวกองค์หญิงด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น
“ นานแล้วสินะ ที่กงเล็บของข้าไม่ได้สัมผัสโลหิตมนุษย์ หวังว่ายอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งสำนักดาราสวรรค์จะไม่ตายง่ายจนเกินไปนัก ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...