แม้เขตอาคมผนึกอเวจีจะมีความแข็งแกร่งแค่ไหน แต่คงกักขังผู้แข็งแกร่งทั้งสี่ได้ไม่เกินห้าลมหายใจ นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่จ้าวเทียนจะต้องจัดการฮั่วกงมู่และหลบหนีออกจากแดนรกร้างให้สำเร็จ
บูมมมม!
ลำแสงสีทองทะลวงฝ่าช่องว่างมิติจนพังทลาย อีกาทองคำสามขาข้ามผ่านระยะทางนับแสนกิโลเมตรในเสี้ยววินาที
ในเวลาเดียวกัน ฮั่วกงมู่ที่วางแผนหลอกล่อให้เสี่ยวมี่เฟิงออกห่างจากจ้าวเทียน ก็ถูกกดดันอย่างหนักหน่วง เขาทั้งประเมินตัวเองสูงเกินไปและประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป
เด็กสาวคนนี้เหมือนเป็นอสูรร้ายบรรพกาลในร่างมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพละกำลังหรือความเร็วล้วนเหนือกว่าตัวเขาหนึ่งขั้น
แม้ทักษะการต่อสู้ของเธอจะยังอ่อนด้อย แต่ด้วยสัญชาตญาณดิบอันน่าหวาดกลัว ทำให้ตัวเขากลับกลายเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนอย่างต่อเนื่อง
“ บัดซบ นี่ข้าสู้อยู่กับตัวอะไรกันแน่ ”
ฮั่วกงมู่กรีดร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจ เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามพยายามคว้าคมหอกด้วยมือเปล่า เพื่อหมายแย่งชิงอาวุธระดับครึ่งพระเจ้าของเขาไป
เปรี้ยง!ๆๆๆๆๆๆ
หอกเพลิงมารปะทะกับฝ่ามือขาวเนียนไม่หยุดยั้ง ทำให้ปรากฏบาดแผลกรีดลึกถึงกระดูกมากมาย แต่ทว่ากลับไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมาแม้แต่น้อย
‘ หืม นี่นางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยงั้นรึ คงไม่ใช่ว่า… ’
ฮั่วกงมู่สังเกตพบความผิดปกติในทันที ก่อนหน้านี้เขามัวแต่ฟื้นฟูกะโหลกศีรษะที่ถูกทำลายไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับพยายามป้องกันการโจมตีอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายมากนัก
‘ นี่จะต้องเป็นร่างหุ่นเชิดแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าถูกสิ่งใดควบคุมอยู่ เพราะจิตวิญญาณประดิษฐ์ธรรมดาย่อมไม่สามารถปลดปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงเช่นนี้ได้ ’
“ เนตรมารสังสารวัฏ! ”
วิ้งง!
ดวงตาข้างขวาของฮั่วกงมู่เปล่งประกายสีม่วงเจิดจ้า เขาได้ใช้มันตรวจสอบเหตุผลต้นกรรมของฝ่ายตรงข้าม เพื่อขุดคุ้ยอดีตชาติตลอดจนความเป็นไปในช่วงชีวิตที่ผ่านมา
ทันใดนั้น
ก๊าซซซซ!
เสียงกรีดร้องสะท้านขวัญของเสี่ยวมี่เฟิงได้ดังขึ้น มันมาพร้อมกับคลื่นโจมตีทางจิตวิญญาณอันทรงพลัง ทำให้ฮั่วกงมู่ที่สติหลุดไปครู่หนึ่งเปิดช่องว่างให้เธอฉกฉวยด้วยทันที
ซวบ! อ้ากกกกกก!
ใบหน้าซีกขวาของฮั่วกงมู่เกิดลอยกงเล็บลากผ่านตั้งแต่หน้าผากจนถึงคาง ดวงตาถูกกระชากออกจากเบ้าจนโลหิตสาดกระจาย
“ คิกคิก...เอาอีก เอาอีก ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ ” เสี่ยวมี่เฟิงเหมือนยิ่งเห็นเลือดก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง สัญชาตญาณอันดุร้ายของเผ่าพันธุ์เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ที่ปรารถนาเพียงการเข่นฆ่าศัตรูเท่านั้น
“ บัดซบ ถอยไปซะไอ้ปีศาจ ”
ฮั่วกงมู่ตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล แล้วระเบิดพายุคมมีดมิติออกจากปลายหอกกระแทกฝ่ายตรงข้ามกระเด็นและรีบหลบหนีทิ้งระยะออกไปไกล เพราะความอยากรู้อยากเห็นของเขาแท้ๆ ทำให้พลาดท่าเสียทีแบบนี้
แต่ทว่า
“ คิดหนีงั้นเหรอ ได้ถามฉันรึยัง ”
วูป! ก๊าซซซซ!
วูป!
จ้าวเทียนได้เก็บหอกเพลิงมารรวมไปถึงสมบัติติดตัวของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ส่วนซากศพของฮั่วกงมู่และร่างที่นอนเป็นผักของผู้นำอันดับสองก็มอบให้เสี่ยวมี่เฟิงใช้วางไข่
หืม!…แย่แล้ว
ไวเท่าความคิด ทั้งเสี่ยวมี่เฟิงและอีกาทองคำสามขาได้โจมตีไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกัน คลื่นเสียงสะท้านจิตวิญญาณผสานเข้ากับเปลวเพลิงสุริยันอันร้อนแรง เกิดเป็นอานุภาพที่ทำลายล้างได้แม้แต่ผู้ที่หลบซ่อนในห้วงมิติ
ตูมมม!ๆ
ร่างของจิวโม่เฟิงกับมารอสูรสามเขาถูกซัดกระเด็นออกไปไกล ส่วนจ้าวเทียนนั้นได้ใช้กระสวยทะยานดาราเปิดช่องว่างอวกาศหลบหนีไปแล้ว
ซึ่งก็แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีทางปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ ดังนั้นภาพเหตุการณ์ไล่ล่าอันดุเดือดจึงเกิดขึ้นในแดนจักรวาลรกร้าง สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนที่พบเห็น
มีหลายครั้งที่จ้าวเทียนเกือบพลาดท่าเสียที แต่เพราะการสู้แบบเอาตัวเข้าแลกของเสี่ยวมี่เฟิงทำให้เขารอดชีวิตมาได้อย่างฉิวเฉียด จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วโมงทั้งหมดก็ข้ามผ่านเขตแดนจักรวาลรกร้างออกมาได้การต่อสู้จึงเป็นอันยุติ
“ พวกเรารีบถอยเถอะ หากล้วงล้ำเข้าไปคงได้เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเทพที่เป็นอาจารย์ของอีกฝ่ายแน่ ” จิวโม่เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ บัดซบ อีกเพียงก้าวเดียวแท้ๆ เด็กสาวคนนั้นบาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้นแล้ว ” มารอสูรสามเขาสบถออกมาด้วยความเสียดาย
ต่อให้เสี่ยวมี่เฟิงจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่ในขณะที่จ้าวเทียนควบคุมกระสวยทะยานดาราแล้วให้อีกาทองคำสามบินหลบหนี เธอก็ต้องรับมือกับศัตรูที่แข็งแกร่งถึงสี่คน จึงไม่แปลกที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
วูป!
เมื่อเห็นว่าหมดหวังในการจับตัวจ้าวเทียนแล้ว ผู้นำกลุ่มโจรสลัดอันยิ่งใหญ่ทั้งสองก็เปิดรอยแยกมิติพาพวกพ้องกลับไปยังอาณาเขตของตน เพื่อวางแผนอพยพหลบหนีจากหายนะที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: จุติใหม่มหาเทพตี้เทียน
ดีๆๆเดินเรื่องดี...
ต่อๆไป...
ขอบคุณทีมงานที่นำเรื่องดีๆมาลงให้อ่าน...