ชาตินี้ ข้าไม่ขอรัก! นิยาย บท 4

บทที่ 4 เริ่มเปิดศึกในจวนโหว

ยามเช้าตรู่วันต่อมา แสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องผ่านม่านโปร่งของ เรือนไป๋เหมย ที่ตั้งอยู่ใจกลางจวนโหว เรือนนี้เป็นที่พำนักของ ฮูหยินใหญ่หรง หรือ หรงเจิน ผู้เป็นมารดาของไป๋จิ้งหาน

ไป๋จิ้งหานได้รับคำสั่งให้มาพบมารดาตั่งแต่ลืมตาตื่นใจยามเช้า และเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนอันอบอุ่น เขาก็ได้พบกับเหยียนซือเหยียนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างมารดาของเขา

นางกำลังรินชาให้อย่างนุ่มนวล ดวงตากลมโตคลอไปด้วยน้ำตา แววตาเศร้าสร้อยและแดงเรื่อ ราวกับคนที่ผ่านค่ำคืนแห่งความทุกข์ระทมมาทั้งคืน

สีหน้าของนางในยามนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเย็นที่แผ่นหลังอย่างประหลาด ราวกับว่ากำลังมีเรื่องให้รำคาญใจรอเขาอยู่

หลังจากเขาคารวะมารดาเรียบร้อย ฮูหยินใหญ่หรงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิอย่างไม่รอช้า

“เช้าวันนี้ไม่มีผ้าหงปู้[1]ส่งมาจากเรือนหอของเจ้า แม่สอบถามลูกสะใภ้แล้วจึงได้รู้ว่าเมื่อคืนลูกมิได้เข้าเรือนหอ บ่าวไพร่บอกแม่ว่าลูกไปนอนที่เรือนหนังสือ เจิ้นโหวไยเจ้าจึงได้ไม่รู้ความประพฤติตนเช่นนี้ รู้หรือไม่ว่าหากไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ พระนางสามารถเอาผิดกับจวนโหวได้”

ไป๋จิ้งหานกำลังจะอ้าปากตอบ เหยียนซือเหยียนกลับส่งเสียงสะอื้นกล่าวแทรกทั้งน้ำตา

“ท่านแม่เจ้าคะ...ลูกสะใภ้คงเป็นภรรยาที่ไม่ดีพอ ท่านโหวจึงไม่ต้องการข้า”

เสียงหวานสั่นเครือ เอ่ยพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาเบา ๆ

ไป๋จิ้งหานชะงักดวงตาคมกริบตวัดมองนางทันที ก่อนจะหันกลับไปสบตากับมารดา ที่ในเวลานี้สีหน้าของ ฮูหยินใหญ่หรง ยิ่งเคร่งขรึมลงและมองเขาด้วยนัยน์ตาเยือกเย็นอย่างเห็นได้ชัด

ไป๋จิ้งหานกำมือแน่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันก่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาเล็กน้อยเมื่อกล่าวกับมารดา

“ท่านแม่ นางเป็นคนลงกลอนประตูเรือนหอเอง ข้าจึงเข้าไปไม่ได้ เรื่องนี้เป็นนางที่ผิดนะขอรับ”

เหยียนซือเหยียนปาดน้ำตาอย่างอ่อนหวานเสียงสะอื้นดังขึ้น กระทั่งมารดาของเขาต้องลูบหลังปลอบโยน ในขณะที่นางกล่าวว่า

“ท่านแม่เจ้าคะ... ท่านโหวอาจจะเมามายจนเลอะเลือน ลูกสะใภ้ไม่เคยลงกลอนเลย ข้าจะทำเช่นนั้นเพื่อสิ่งใดเจ้าคะ ท่านแม่ไม่เชื่อก็ถามบ่าวรับใช้ได้ ท่านโหวต้องการไปรับแขกหลอกล่อข้าจนออกจากเรือนหอได้ จากนั้นก็ไม่กลับมาอีกเลยเจ้าค่ะ”

เหยียนซือเหยียนสะอื้นเบา ๆ แล้วซบลงกับแขนของหรงเจิน ดวงหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

ฮูหยินใหญ่หรงหันไปมองเซียวยีบ่าวคนสนิทของเหยียนซือเหยียน นางก็รีบก้มหัวรับทันที

“เป็นความจริงเจ้าค่ะ คุณหนูของพวกเรามิได้ลงกลอนประตู บ่าวกับอาเหวินรอเปิดประตูให้ท่านโหวทั้งคืนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาเจ้าค่ะ”

ไป๋จิ้งหานกัดฟันแน่น มองบ่าวรับใช้พวกนั้นด้วยสายตาเย็นยะเยือก แน่นอนว่าพวกนางย่อมต้องเข้าข้างคุณหนูของตน แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้!

เมื่อคืนเขากลับมาช้ามาก ๆ ก็จริง แต่เขาก็ยังกลับเรือนหอด้วยคิดว่าอาจจะถูกท่านแม่ตำหนิ ผู้ใดจะคิดว่าเขาไม่เจอผู้ใดสักคนและยังไม่อาจเข้าเรือนหอของตนเองได้

เขาไม่ได้เอ่ยเรียกนางเพราะคิดว่านางคงนอนไปแล้ว จึงไปนอนที่เรือนหนังสือ คาดไม่ถึงว่านางจะวิ่งมาฟ้องมารดาของเขาตั้งแต่ไก่โห่เช่นนี้

เมื่อเขาไม่อาจแก้ต่างให้ตนเอง ผลลัพธ์ของเรื่องนี้จึงเป็นว่า เขาคือฝ่ายผิด

หรงเจินถอนหายใจหนัก เอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ

“หานเอ๋อร์! ไม่ว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้น เจ้าควรมีความรับผิดชอบในฐานะสามี คืนแต่งงานไม่ควรปล่อยให้ภรรยานอนเดียวดายผิดธรรมเนียนยิ่งนักหากคนนอกล่วงรู้เจ้าคิดหรือไม่ว่าภรรยาของเจ้าจะถูกคนติฉินนินทาเช่นใด คืนนี้เจ้าต้องอยู่ที่เรือนหอ และพรุ่งนี้เช้า...ต้องมีหงปู้ส่งเข้าวังหลวง”

ไป๋จิ้งหานรับคำสั้น ๆ เขาไม่อาจโต้เถียงมารดาได้

“เป็นลูกที่ผิดเองขอรับ ลูกเข้าใจแล้วท่านแม่อย่าได้กังวลอีกเลย ร่างกายท่านอ่อนแอต้องรักษาสุขภาพนะขอรับ”

มารดาพยักหน้า สีหน้าดูดีขึ้นมาไม่น้อยเมื่อเห็นว่าอย่างไรบุตรชายก็ยังเชื่อฟัง

นางจึงเอ่ยว่า

“เช่นนั้นเจ้าก็พาเหยียนเหยียนกลับเรือนเถิด เหยียนเหยียนเองสุขภาพก็อ่อนแอไม่ต่างจากแม่นัก ไม่จำเป็นต้องมาคารวะทุกวัน อีกไม่กี่วันก็ต้องนำของขวัญกลับบ้านเดิมเพื่อคารวะบิดามารดาของลูกสะใภ้ แม่เตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้วลูกพาเหยียนเหยียนกลับไปก็พอ”

ไป๋จิ้งหานเก็บสีหน้าขุ่นเคืองเอาไว้แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการกลับบ้านเดิมกับนาง จึงคิดปล่อยให้นางไปคนเดียวหวังจะหาข้ออ้างในเวลานั้น

ด้านเหยียนซือเหยียนเองวันนี้นางมาเพื่อพิสูจน์ว่าแม่สามียังคงดีต่อนางเช่นเดิมหรือไม่ เมื่อได้รับคำตอบว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อยนางจึงยอบกายจากไปอย่างอ่อนหวาน

คนสองคนเดินเคียงกันไปจนพ้นเรือนของฮูหยินใหญ่หรง เหยียนซือเหยียนกลับหันมาบอกกับเขาว่า

“ท่านพี่ ไม่จำเป็นต้องกลับบ้านเดิมกับข้า และไม่ต้องคิดหาข้ออ้างให้ลำบากใจ ข้าจะบอกบิดามารดาของข้าเองว่าท่านได้รับคำสั่งให้เดินทางไปปราบโจรกบฏจากฝ่าบาท”

ไป๋จิ้งหานกลับรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาแทนเสียเอง

“ไยข้าต้องคิดให้วุ่นวาย ก็เพียงแค่กลับบ้านเดิมของเจ้าเท่านั้นไยต้องหาข้ออ้าง”

เหยียนซือเหยียนกลับมีสีหน้ามั่นใจยิ่งนัก

“ไม่จำเป็นต้องคิดมาก อย่างไรท่านก็ไม่ได้ไปแน่นอน”

จากนั้นไป๋จิ้งหานมีสีหน้าขุ่นเคืองยิ่งนัก เขารู้สึกได้ว่านางกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่ในใจ แต่ต่อหน้ามารดาของเขา นางกลับแสร้งเป็นภรรยาผู้ถูกทอดทิ้งได้แนบเนียนที่สุด เวลานี้กลับมาบอกว่าไม่ต้องการให้เขากลับบ้านเดิมด้วย

สตรีนางนี้กำลังวางแผนสิ่งใดเป็นแน่

เหยียนซือเหยียนกล่าวจบ นางก็เดินฉับ ๆ แยกจากเขาไปโดยไม่สนใจว่าเขาจะติดตามมาหรือไม่ ไป๋จิ้งหานได้แต่มองตามแผ่นหลังบอบบางไปจนลับตาจากนั้นจึงก้าวเท้ากลับไปที่เรือนหนังสือของตนเอง

เรือนหนังสือจวนเจิ้นโหว

ไป๋จิ้งหานให้บ่าวไปตามสองพี่น้องหลี่จื้อและหลี่หลงมาพบเขา ในขณะที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเหยียนซือเหยียน

เมื่อคืนนี้นางดูดีใจมากที่เขาออกจากเรือนหอ แล้วเหตุใดรุ่งเช้านางกลับมาฟ้องมารดาของเขา หากนางต้องการผลักไสเขาจริง เหตุใดจึงต้องทำให้มารดาของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

ไป๋จิ้งหานรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เหยียนซือเหยียนที่เขารู้จักเมื่อก่อนหลงใหลเขาจนน่ารำคาญ แต่นางในตอนนี้กลับดูแตกต่างไป หรือว่าจริง ๆ แล้วที่นางแต่งงานกับเขาเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมอันใด

เขาไม่อาจวางใจได้เพราะอย่างไรนางก็ยังเป็นคนสกุลเหยียน

และบัดนี้เขาได้รู้ข่าวมาว่าเหยียนปังพี่ชายคนรองของนางบัดนี้เป็นลูกน้องคนสำคัญของจ้าวเหวินเสนาบดีคลังซึ่งเป็นคนที่เขาตรวจสอบและกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา

เหยียนปังผู้นี้เป็นพี่ชายที่สนิทกับเหยียนซือเหยียนที่สุด หรือว่านางจะถูกส่งมาเพื่อเป็นหนอนบ่อนไส้ในจวนของเขากันแน่!

กระทั่งสององครักษ์พี่น้องเข้ามาในเรือนหนังสือ ไป๋จิ้งหานก็สั่งการทันใด

“หลี่จื้อข้าต้องการให้เจ้าจับตาดูเหยียนปังอย่าให้คลาดสายตา”

“คุณชายรองสกุลเหยียน พี่ชายของฮูหยินน้อยหรือขอรับ”

สายตาของไป๋จิ้งหานเคร่งขรึมลง

“ใช่เหยียนปังผู้นั้น บัดนี้เขากลายเป็นลูกน้องคนสนิทของเสนาบดีจ้าว คนผู้นั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายข้าเกรงว่าสกุลเหยียนจะเกี่ยวข้องกับการทุจริตในครานี้”

“แต่พวกเราสืบเรื่องสกุลเหยียนมาเนิ่นนานแล้ว แต่ไม่เคยพบสิ่งใดผิดปกตินะขอรับ”

“เพราะก่อนหน้านี้คนของเราอยู่ที่นอกเมืองหลวง ไม่อาจนำเข้ามาในเมืองหลวงได้ จึงทำให้กำลังไม่เพียงพอและถูกปิดหูปิดตามานาน เวลานี้ฝ่าบาทได้มอบอำนาจให้ข้าเต็มที่เพื่อติดตามคดีเด็กชายหายตัวไปเป็นเวลาหลายปีอย่างต่อเนื่อง เราจึงเคลื่อนพลได้อย่างสะดวกขึ้น เริ่มวางคนของเราเอาไว้ในเมืองหลวงให้แนบเนียนที่สุด อย่าให้ถูกจับได้เด็ดขาด”

ภายใต้ความสงบสุขของต้าหยาง ผู้ใดจะรู้ว่าบัดนี้มีคดีเด็กหนุ่มหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยมานับสิบปีแล้ว เพราะว่าเด็กที่หายตัวไปล้วนเป็นคนไร้บ้านทั้งขอทาน ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดที่ร้องเรียนมาให้ทางการตรวจสอบ

ทว่าหลังจากเสร็จศึกชายแดนและไป๋จิ้งหานกลับมาที่เมืองหลวงมารับตำแหน่งผู้ตรวจการเมืองหลวงได้สองปีเขาก็พบความผิดปกติถึงเรื่องนี้ กระทั่งฝ่าบาทสั่งให้เขาตรวจสอบอย่างลับ ๆ เพราะสงสัยว่าเรื่องนี้จะมีใครที่อยู่เบื้องหลัง

กระทั่งเขาสืบพบความเกี่ยวเนื่องของคดีทุจริตของเสนาบดีจ้าวและความเกี่ยวพันกับการลักพาตัวเด็กชายมาอย่างต่อเนื่อง

หลี่จื้อรับคำ

“ขอรับ”

จากนั้นไป๋จิ้งหานก็หันมาเอ่ยกับหลี่หลง

“ส่วนเจ้าอาหลง จับตาดูเหยียนซือเหยียนเอาไว้ให้ดี”

บทที่ 4 1

Verify captcha to read the content.ตรวจสอบแคปช่าเพื่ออ่านเนื้อหา

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชาตินี้ ข้าไม่ขอรัก!