บทที่ 7 นางช่างกล้านัก
สองเดือนที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่ไป๋จิ้งหานออกศึก เหยียนซือเหยียนก็ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี นางไปจวนองค์หญิงใหญ่อยู่เสมอ เพื่อฟังชายงามขับร้องบทกวี ชมงิ้ว เล่นไพ่ และเล่นหมากล้อม
นอกจากนั้นนางยังคัดเลือกสาวงามอีกหลายคน เพื่อเตรียมส่งไปบำเรอความสุขให้สามีที่แดนเหนือแม้ว่าเขาจะปฏิเสธเสียงแข็งก็ตาม
เพราะนางรู้ว่าเขาจะปราบกบฏที่ชายแดนในค่ายทหารไม่กี่เดือน จากนั้นจะกลับเข้ามาพำนักรอดูความเรียบร้อยในจวนสกุลไป๋เมืองหลงเซิงอันเป็นเมืองหลวงในแดนเหนือ และอี้ชิงก็จะกลายเป็นนางในดวงใจของเขาตอนนี้
สาวงามที่นางคัดเลือกให้ไป๋จิ้งหานล้วนมีใบหน้า รูปร่าง และกิริยาใกล้เคียงกับอี้ชิง ทว่านอกเหนือจากนั้นพวกนางยังได้รับการฝึกฝนให้ปรนนิบัติบุรุษบนเตียงจากนางโลมอันดับหนึ่งอย่างลับ ๆ
เรื่องนี้เหยียนซือเหยียนล้วนแอบลักลอบทำ ไม่ให้ผู้ใดรู้และจะส่งไปให้ไป๋จิ้งหานเมื่อถึงเวลา
นางมีความสุขยิ่งกว่าชาติที่แล้วจนไม่อาจบรรยาย ถึงจะยังคงมีอาการเจ็บแค้นใจไป๋จิ้งหานและคิดถึงเขาอยู่บ้างแต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เพราะทุกวันนางล้วนได้รับการเยียวยาจิตใจจากจวนองค์หญิงใหญ่ ด้วยบุรุษมากมายที่แสนเอาอกเอาใจที่นั่น
เพราะเหตุนี้นางจึงอยากจนอยากจะไปทุกวันเสียด้วยซ้ำ ติดก็เพียงแต่นางยังเกรงใจแม่สามีจึงเลือกไปเพียงสี่ห้าวันต่อครั้งเท่านั้น
“องค์หญิงใหญ่ช่างมีรสนิยมยิ่งนัก บุรุษที่นี่ช่างหล่อเหลาเหลือเกิน นั่นก็ดี นี่ก็รูปงาม ดวงตาของบุรุษผู้นั้นก็ชวนฝัน เฮ่อ ชาติที่แล้วข้ามัวหลงใหลบุรุษเพียงคนเดียวได้อย่างไร เสียชาติเกิดอย่างแท้จริง” นางทอดถอนใจขณะชมบุรุษรูปงามที่ร่ายรำตรงหน้าอย่างมีความสุข
“คุณหนูท่านไม่ห่วงท่านโหวหรือเจ้าคะ ดูท่านสบายใจยิ่งนัก” เซียวยีเอ่ยถามเสียงเบา
“จะห่วงทำไม เขาชนะศึกแน่นอน และชนะโดยไม่บาดเจ็บอันใดด้วย ที่นั่นถิ่นของเขาคนผู้นั้นมีวิธีการของเขาไม่ต้องห่วง”
“จริงหรือเจ้าคะ คุณหนูรู้ได้อย่างไร”
“ข้าเป็นผู้ใดกัน มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้บ้าง ทุกเรื่องที่บอกเจ้าล้วนไม่โป้ปด เจ้าเห็นหรือไม่ ชายแดนมีรบราฆ่าฟันไม่เว้นวัน แต่ฝ่าบาทยังรับสั่งให้คนในเมืองหลวงและแดนอื่น ๆ ที่ไม่มีสงครามใช้ชีวิตอย่างปกติสุข คนที่น่าห่วงไม่ใช่เจิ้นโหวของเจ้า แต่เป็นกบฏพวกนั้นต่างห่างที่กล้าหาญมาก่อกวนในถิ่นของเขา”
นางยังจำได้ดีว่าไป๋จิ้งหานจัดการกบฏโดยไม่เสียเลือดเนื้อเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ใช้วิธีต่อสู้รุนแรง แต่ค่อย ๆ อาศัยกองกำลังเล็ก ๆ ของเขาลอบสังหารคนพวกนั้นด้วยความชำนาญในพื้นที่ และอาศัยชาวบ้านที่สกุลไป๋ให้ความช่วยเหลือมามากกว่ายี่สิบปีคอยสืบข่าว เพราะฝ่าบาทไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อจึงได้ส่งเขาไปเช่นนั้น และนับว่าคิดถูกต้องนัก
การที่เขาใช้เวลาถึงห้าเดือนในการจัดการกบฏ ก็เพราะเหตุผลที่ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อทหารนี่เอง
ชาติที่แล้วเป็นนางที่ห่วงใยสามีผู้นี้เกินเหตุ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่เพียงลำพัง
หึ..ชาตินี้อย่าหวังว่านางจะทุกข์ใจเช่นนั้นอีก
เมื่อเซียวยีวางใจ นางจึงเริ่มหันมาชมงิ้วกับเหยียนซือเหยียนได้อย่างมีความสุข
“คุณหนูท่านชอบผู้ใดหรือเจ้าคะ”
เหยียนซือเหยียนหันไปมองชายงามที่กำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อยไปพร้อมกับจังหวะดนตรีก็พลันเผยรอยยิ้มสดใส นางเพ่งพิศอยู่ครู่หนึ่งก็พลันเอ่ยว่า
“หน้าตาดีทั้งหมด ข้าไม่อาจเลือกผู้ใดเช่นนั้นก็มีรางวัลให้ทั้งหมดก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
ในขณะที่เซียวยีแจกจ่ายมอบเงินกำนัลให้กับชายงามเหล่านั้นองค์หญิงใหญ่ญาติผู้พี่เจ้าสำราญของนางเดินออกมาจากตำหนักในพร้อมกับรอยยิ้ม โดยที่มีบุรุษรูปงามประคองนางออกมาเอ่ยว่า
“อาเหยียนของพี่วันนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ชายงามกลุ่มใหม่นี้ถูกใจเจ้าหรือไม่”
เหยียนซือเหยียนรีบพยักหน้า
“ถูกใจยิ่งเพคะต้องขอบคุณพี่หญิงแล้วที่ทำให้น้องสาวผู้นี้ได้เปิดหูเปิดตา”
“หากเจ้าชอบก็นำกลับจวนสักหลาย ๆ คน ข้าอนุญาต”
เหยียนซือเหยียนรีบส่ายหน้า คิดในใจว่า ขอนางหย่าก่อนจะไม่ขัดศรัทธาของพี่หญิงเลยแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้มิอาจทำได้ อย่างไรชื่อเสียงก็สำคัญยิ่งนักสำหรับจวนโหว นางยังต้องไว้หน้าแม่สามีอยู่
“พี่หญิงก็รู้ว่าข้าทำไม่ได้ ข้าขอเพียงชื่นชมก็พอแล้วเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หัวเราะขบขัน นางเป็นสตรีหม้ายที่ราชบุตรเขยตายจากเพราะโรคระบาด ส่วนตัวนางก็ไร้วาสนาติดโรคระบาดมาด้วย ทว่าไม่ถึงแก่ความตายแต่กลับทำให้นางตั้งครรภ์ไม่ได้อีกต่อไป
ตั้งแต่นั้นมาฝ่าบาทซึ่งเป็นน้องชายขององค์หญิงก็สงสารพี่สาวยิ่งนัก จึงได้ชดเชยความเสียใจนี้ด้วยการมอบตำหนักนอกวังหลวงให้และยังมอบชายงามจำนวนมากแล้วแต่องค์หญิงใหญ่จะปรารถนาให้พระองค์ด้วย
ซึ่งในชาติที่แล้วองค์หญิงใหญ่ เคยชวนนางมาเปิดหูเปิดตาในจวนหลายครั้งแต่นางก็ปฏิเสธทุกครั้งไป กว่าจะยอมมาก็สายเกินไปแล้ว
ชาตินี้ได้กลับหวนมาอีกครั้งจึงตั้งใจทำทุกอย่างที่พลาดไปในชาติที่แล้วเพื่อตายไปจะได้ไม่เสียดายอีก
จวนเจิ้นโหว
เมื่อกลับมาถึงจวน เหยียนซือเหยียนก็เริ่มทำภารกิจที่ต้องทำทุกวันหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ
นั่นก็คือการเขียนจดหมายถึงไป๋จิ้งหานด้วยความจำใจ
อันที่จริงชาตินี้นางไม่ตั้งใจจะเขียนหาเขาอีก แต่ว่าเขาไปได้เพียงสามวันแม่สามีก็มาขอให้นางเขียนจดหมายถึงเขาจนได้
“สามีเจ้าจากไปชายแดน ถึงแม้ฝ่าบาทจะสั่งให้ทุกคนในเมืองหลวงใช้ชีวิตตามปกติทว่าเจ้าเป็นฮูหยิน อย่างไรก็ต้องส่งจดหมายไถ่ถามให้กำลังใจเขาทุกวัน”
นางแทบอยากจะร้องไห้ออกมา แต่สุดท้ายก็จำต้องพยักหน้ารับคำ แม้ว่าในใจจะร่ำร้องว่า ‘ข้าไม่อยากเขียนสักนิด!’
ดังนั้นในทุกวันก่อนนอน นางจึงต้องนั่งลงและเริ่มเขียนจดหมาย แน่นอนว่าเนื้อหานั้นนางไม่เคยถามถึงความเป็นอยู่ของเขาหรือเล่าความรู้สึกของตนเองเช่นเดิมเลย
ในชาติที่แล้วข้อความล้วนเต็มไปด้วยความคำนึงหา และการหลั่งน้ำตาด้วยความคิดถึง
ทว่าชาตินี้กลับต่างออกไปจากเดิมมาก นางมิได้เขียนหาเขาโดยใช้คำลึกซึ้งเช่นเดิมอีกแล้ว
เนื้อหาในจดหมายล้วนเป็นสิ่งที่เขียนส่งเดชไปทั้งสิ้นเช่นว่า
‘ถึงท่านโหว ข้าขอแจ้งข่าวอันสำคัญแก่ท่าน...ม้าของจวนชื่อเสี่ยวไป๋คลอดลูกสองตัว ขนสีขาวราวหิมะ เสียดายตัวยังเล็กมากข้าจึงขี่ไม่ได้’
‘ลาที่ตลาดถูกขายไปในราคาเพียงห้าตำลึงเท่านั้น ข้าว่ามันถูกเกินไปนัก ท่านเห็นว่าอย่างไร?’
‘เมื่อวานนี้ ข้าได้ยินว่ามีสามีผู้หนึ่งถูกภรรยาตีจนหัวแตกเพียงเพราะเขามองสตรีอื่น ช่างน่าขันยิ่งนักท่านว่าตลกหรือไม่เพราะสามีของนางตาบอด’
‘มีแม่ค้าคนหนึ่งทะเลาะกับสามีของนางเพราะเขาไม่ซื้อแป้งให้นางผัดหน้า ขี้เหนียวเช่นนี้ข้าว่าภรรยาควรหย่ากับเขาเสีย’
‘สามีใช้ภรรยาไปซักผ้าทุกวัน สุดท้ายภรรยาลอบมีชู้ สามีจับได้พบว่าชู้เป็นชาวประมงหาปลา สมน้ำหน้านักหากว่าเขาไปซักผ้าเอง ไม่กดขี่ภรรยาให้ทำงานหนัก เขาคงไม่เสียภรรยาไปเช่นนั้น’
‘อาหารที่ภัตตาคารเฟิ่งหยาง ราคาแพงแต่ไม่อร่อยข้าสงสัยว่าไยจึงขายได้ ที่แท้เพราะว่าพวกเขาลักลอบขายข่าวให้คนในยุทธภพ เปิดภัตตาคารเพื่อบังหน้าเท่านั้น แต่ว่าเสี่ยวเอ้อที่นี่ใบหน้างดงามยิ่งนัก ข้าจึงเข้าใจแล้วว่านอกจากข่าวแล้ว ยังขายหน้าตาคนได้ด้วยลูกค้าสตรีจึงแน่นร้าน’
ณ ชายแดนเขตเหนือ ไป๋จิ้งหานได้รับจดหมายของเหยียนซือเหยียนอยู่เสมอ
เริ่มแรกเขาเริ่มจากขมวดคิ้วใส่ตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขากลับเริ่มเผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว
ข้อความของนางแม้จะจับใจความไม่ได้และดูเหมือนล้วนเป็นเรื่องที่ไม่น่าเขียนส่งมา ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจากสงครามอยู่ไม่น้อย
กระทั่งเขายังบอกกับหลี่จื้อว่า
“บอกหลงจู๊ภัตตาคารเฟิ่งหยาง เปลี่ยนเสี่ยวเอ้อเป็นชายสูงอายุทั้งหมด บุรุษที่หน้าตาดีให้เงินพวกเขาก้อนหนึ่งแล้วให้ไปหางานใหม่”
หลี่จื้อขมวดคิ้ว ภัตตาคารเฟิ่งหยางเป็นกิจการของไป๋จิ้งหานอย่างลับ ๆ มีขึ้นมาเพื่อสืบข่าวคนในยุทธภพ ใยนายท่านจึงได้เคร่งครัดเรื่องหน้าตาคนนัก กระทั่งไป๋จิ้งหานเอ่ยต่อว่า
“อีกอย่าง ห้ามมิให้ฮูหยินน้อยออกไปเพ่นพ่านที่นั่นอีก นางรู้ได้อย่างไรว่าที่นั่นเป็นที่ขายข่าวของพวกเรา”
“เรื่องนี้ข้าเองก็สงสัยขอรับ ว่านายหญิงรู้ได้อย่างไร”
บัดนี้หลี่จื้อแอบสังเกตนายตนเองมานาน จนอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยอกเย้าเมื่อในทุกวันจะต้องเห็นว่าไป๋จิ้งหานเดินวนไปมาอยู่หน้ากระโจมรอคอยใครสักคนมาพบเขา
วันหนึ่งหลี่จื้ออดทนไม่ได้เมื่อเห็นว่าไป๋จิ้งหานดูหงุดหงิดยิ่งนัก เขาจึงเอ่ยถาม
“นายท่านกำลังรอจดหมายของฮูหยินน้อยใช่หรือไม่ขอรับ”
ไป๋จิ้งหานกระแอมเสียงต่ำ จากนั้นเอ่ยน้ำเสียงขึงขังไม่พอใจ
“ผู้ใดรอคอยจดหมายของนางกัน ข้ารอจดหมายของท่านแม่ต่างหาก”
หลี่จื้อหัวเราะเบา ๆ
“เช่นนั้นหรือก ข้าก็เข้าใจผิดเพราะทุกครั้งที่ท่านอ่านจดหมายของฮูหยินน้อยจะอ่านซ้ำไปซ้ำมาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน จึงคิดว่าท่านรอจดหมายของฮูหยินน้อยขอรับ”
“เจ้าคิดว่าข้าบ้าหรือ นางเขียนสิ่งใดมาเจ้าก็รู้ ล้วนประหลาดยิ่งนักข้าอ่านแล้วปวดหัวทุกครั้งไป”
ทว่าเขาหงุดหงิดได้ไม่นาน หลัวเฟิงที่ติดตามมาปรนนิบัติก็นำจดหมายจากเหยียนซือเหยียนอีกฉบับหนึ่งมามอบให้เขา
ไป๋จิ้งหานรีบเปิดอ่านอย่างกระตือรือร้น
‘อาเหวินเล่าให้ข้าฟังว่า มีโจรร้ายบุกปล้นบ้านคหบดีใหญ่ โจรกระจอกนักขโมยน้ำมันหมูในเรือนฮูหยินไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มิได้นำเงินทองไปเลย น่าขันที่คหบดีผู้นั้นเหยียบน้ำมันหมูที่หกกระจายในเรือนฮูหยินและลื่นล้มจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าไยน้ำมันหมูลื่น ๆ จึงไปอยู่ในเรือนของฮูหยินผู้นั้นได้’
ไป๋จิ้งหานขมวดคิ้วครุ่นคิดจากนั้นก็หันมาถามหลัวเฟิง
“อาเหวินนี่คือผู้ใด”
หลัวเฟิงตอบทันใด
“บ่าวบุรุษตัวอ้วนผู้นั้นของฮูหยินน้อยขอรับ”
“คนผู้นั้นนามว่าอาเหวินหรือ”
“ขอรับ บ่าวสตรีนามว่าเซียวยี บุรุษนามว่าอาเหวิน ออกเรือนมาพร้อมกับฮูหยินน้อยขอรับ ข้าน้อยทราบมาว่าคนสองคนเป็นบ่าวรับใช้ฮูหยินน้อยมาตั้งแต่เด็กซื่อสัตย์ยิ่งนัก”
“หึ ข้ามิได้อยากรู้เสียหน่อย เล่าอะไรยืดยาว”
“แล้วนายท่านถามถึงอาเหวินทำไมหรือขอรับ”
ไป๋จิ้งหานกระแอมเอ่ยว่า
“ส่งข่าวให้คนในจวนกำหราบอาเหวินผู้นี้เสียหน่อย อย่าเล่าเรื่องไร้สาระให้ฮูหยินน้อยฟังอีก หากกล้าฝ่าฝืนข้าจะตีปากให้ฟันร่วง”
“ขอรับ”
หลังจากนั้นไม่กี่วันหลัวเฟิงก็นำจดหมายอีกฉบับหนึ่งมาให้ไป๋จิ้งหานเช่นเคย
“นายท่านจดหมายของฮูหยินน้อยขอรับ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชาตินี้ ข้าไม่ขอรัก!