จ้าวยี่เห็นว่าฟู่ลั่วเฉินไม่ยินดีพูดถึงเรื่องของเฟิงฉิ้นหว่านนัก จึงจำต้องหุบปาก เพียงแต่ในใจยังรู้สึกกังวล หลังจากผ่านไปสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาว่า : “ท่านชาย พวกเราจะไปดูที่เรือนจำสักหน่อยไหมขอรับ ?”
“ไม่ต้อง หยุนชวนอยู่ในเรือนจำแล้ว เขาจะกลับมารายงานข้าในสิ่งที่เห็น”
“ท่านชายเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”
ฟู่ลั่วเฉินนิ่งเงียบ หลังจากออกจากหอหญิงงามเมือง เขาก็พิจารณาถึงการติดต่อกับเฟิงฉิ้นหว่านในช่วงนี้อย่างละเอียด ในตอนแรกคิดว่านางไม่มีพิษสงอะไร เป็นเพียงคนฉลาดที่หาได้ยาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนตนเองจะประเมินนางต่ำเกินไปมาก
เฟิงหลิง เพราะสาเหตุใดกันแน่ ที่ทำให้เจ้าสามารถเปลี่ยนผู้หญิงที่เพียบพร้อมเช่นนี้ ให้แสร้งทำตัวเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอได้ ?
เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ทางด้านของเฟิงฉิ้นหว่านก็ยังไม่ส่งข่าวกลับมา จ้าวยี่จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังเริ่มหมดความอดทน กลับเห็นหยุนชวนเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพอดี
สีหน้าของหยุนชวนซีดเผือดเล็กน้อย แววตายังปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัวที่ยังไม่ทันจางหาย : “ท่านชาย ใต้เท้าจ้าว แม่นางเฟิงได้รับคำสารภาพมาอย่างครบถ้วนแล้ว และกำลังกลับมาที่นี่ขอรับ”
ฟู่ลั่วเฉินเงยหน้าขึ้น และมองดูสีหน้าของหยุนชวน : “เจ้าเป็นอะไรไป ?”
“ท่านชาย ต่อไปข้าน้อยไม่กล้าล่วงเกินแม่นางเฟิงอีกแล้ว” หยุนชวนพูดอย่างแน่วแน่ หลังจากพูดจบก็ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังฟู่ลั่วเฉิน
ฟู่ลั่วเฉินคิดจะซักถามอย่างละเอียด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเฟิงฉิ้นหว่านดังขึ้น
เฟิงฉิ้นหว่านยังคงแต่งกายด้วยชุดที่อยู่ในหอหญิงงามเมือง เสื้อคลุมยาวสีน้ำเงินครามพลิ้วไหว ภายใต้สายลมยามค่ำคืน ทำให้ลวดลายดอกกล้วยไม้ที่ปักอยู่ตรงชายเสื้อและแขนเสื้อของนาง ดูมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น
“คารวะท่านชาย คารวะใต้เท้าจ้าว”
เมื่อเฟิงฉิ้นหว่านเห็นฟู่ลั่วเฉิน ก็เผยรอยยิ้มออกมาในทันที
จ้าวยี่เห็นเฟิงฉิ้นหว่านถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ : “ฉือเหลียนสารภาพแล้วหรือ ?”
“เจ้าค่ะ ขอเชิญใต้เท้าลองพิจารณาดู”
เฟิงฉิ้นหว่านโค้งคำนับ แล้วยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้กับจ้าวยี่ จากนั้นจึงถอยกลับไปยืนรออยู่ด้านข้างอย่างสงบ
จ้าวยี่อ่านอย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบก็ขมวดคิ้วแน่น : ตระกูลฉือ ? ตระกูลฉือเป็นเพียงแค่ร้านขายชาเล็ก ๆ ทำไมถึงใจกล้าเช่นนี้ ?”
เมื่อจ้าวยี่พูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโห และยื่นกระดาษที่อยู่ในมือให้กับฟู่ลั่วเฉิน : “เชิญท่านชายลองอ่านดู”
ฟู่ลั่วเฉินกวาดสายตาอ่านคำสารภาพจนจบอย่างรวดเร็ว แววตาปรากฏความฉลากที่ซ่อนเร้นอยู่ : “สวนชาของตระกูลฉือสามารถปลูกฝิ่นที่ทำให้คนเสพติดได้หรือ ?”
เฟิงฉิ้นหว่านเอ่ยปากอธิบาย : “ก่อนหน้านี้เคยได้ยินชื่อเสียงของตระกูลจิน ซึ่งเป็นพ่อค้าชาอันดับหนึ่งในเจียงหนาน ตระกูลจินมีรากฐานอยู่ในเมืองหยาง ตอนนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ข้าน้อยก็รู้สึกแปลกใจ หากจะว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตระกูลจินกลายเป็นพ่อค้าชาอันดับหนึ่งของเจียงหนาน ก็ควบมีอำนาจในการควบคุมการค้าชาอย่างเบ็ดเสร็จในเมืองหยาง แต่ทำไมจู่ ๆ ถึงมีตระกูลฉือที่สามารถแข่งขันกับตระกูลจินขึ้นมาได้ ? ภายหลังถึงได้เข้าใจว่า ตระกูลฉือมีสวนชาที่พิเศษอย่างยิ่งแห่งหนึ่งอยู่ในครอบครอง”
จ้าวยี่เอ่ยปาก : “สวนชาแห่งนั้นข้าเองก็เคยได้ยิน ได้ยินว่าครอบคลุมพื้นที่ภูเขาสองลูก ภายในสวนชาอุดมไปด้วยชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝน ชาลงจิ่งของที่อื่นไม่อาจเทียบคุณภาพได้กับชาที่ผลิตจากสวนของตระกูลฉือ ภายหลังถึงได้รู้ว่ามีสาเหตุมาจากสภาพของดิน ของหายากย่อมมีราคาสูง ตระกูลฉือจึงอาศัยสวนชาเพียงแห่งเดียว เลี้ยงดูตระกูลใหญ่ทั้งตระกูลได้”
“ใช่แล้ว เดิมทีคิดว่าสวนชาแห่งนี้เป็นรากฐานของตระกูลฉือ การได้รับการคุ้มกันเป็นความลับสุดยอดจึงถือว่ามีเหตุผล แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ที่สวนชาได้รับการคุ้มกันอย่างเข้มงวดเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะใบชานั้นล้ำค่า แต่เป็นเพราะพื้นที่ภายในสวนชา เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกฝิ่น”
จ้าวยี่ขมวดคิ้ว : “แม่นางเฟิง ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าเจ้ามีพอมีความรู้เรื่องตัวยาอยู่บ้าง เช่นนั้นเจ้ามั่นใจไหมว่า ยาที่หญิงสาวในหอเซียวเซียงจุ๋นเหล่านั้นใช้ก่อนหน้านี้คือฝิ่นนี่ ?”
“ข้าน้อยไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่ว่า ยาที่หญิงสาวเหล่านั้นใช้คือยาอะไรกันแน่ แต่แน่ใจได้ว่าจะต้องมีฝิ่นเป็นส่วนประกอบหลักอย่างแน่นอน” เฟิงฉิ้นหว่านเงยหน้าขึ้น และพูดด้วยแววตามั่นใจ
จ้าวยี่ลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว : “ท่านชาย หากเป็นเช่นนี้จริง ตระกูลฉือก็เท่ากับเป็นเบาะแสชิ้นใหญ่ ก่อนหน้านี้ท่านชายเองก็เคยสงสัยไม่ใช่หรือขอรับ ? สถานที่ลักษณะเดียวกับหอเซียวเซียงจุ๋นคงไม่ได้มีเพียงแค่แห่งเดียว แต่สถานที่ที่เหมาะสำหรับการปลูกฝิ่น กลับมีเพียงแค่สวนชาของตระกูลฉือเท่านั้น ดังนั้นขอเพียงสอบสวนคนของตระกูลฉืออย่างละเอียด ไม่แน่ว่าอาจตามหาเส้นทางของฝิ่นเหล่านั้นได้ เช่นนี้ก็จะตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดได้จากเบาะแสที่มี”
ส่วนสูงของเฟิงฉิ้นหว่านเมื่อเทียบกับผู้หญิงทั่วไปไม่ถือว่าเตี้ยนัก แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าฟู่ลั่วเฉิน กลับเตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะ
ฟู่ลั่วเฉินก้มหน้าลงมองเฟิงฉิ้นหว่าน และยกมือขึ้นจับคางของนางในทันที
เฟิงฉิ้นหว่านถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้นเพราะการกระทำของฟู่ลั่วเฉิน แก้มที่ขาวสะอาดของนางนูนขึ้นเล็กน้อย ทำให้นางยิ่งดูน่ารักเหมือนเด็ก
“เฟิงฉิ้นหว่าน เจ้าทำมากมายขนาดนี้ เพียงเพื่อต้องการมีสิทธิ์ยืนข้างกายข้าอย่างนั้นหรือ ?”
“เจ้าค่ะ” ดวงตาของเฟิงฉิ้นหว่านเป็นประกาย แววตาที่จ้องมองฟู่ลั่วเฉินดูสนิทสนม แต่ก็ให้ความเคารพในเวลาเดียวกัน
“เช่นนั้นเจ้าคงรู้ดีว่า หากต้องการยืนข้างกายข้า ข้อแรกจะต้องซื่อสัตย์ ?”
“แน่นอนเจ้าค่ะ ตอนนั้นท่านชายช่วยชีวิตของฉิ้นหว่านไว้ ความซื่อสัตย์ที่ข้าน้อยมีต่อท่านชายเป็นสิ่งที่ฟ้าดินเป็นพยานได้”
“จะไม่เสียใจทีหลังหรือ ?” ฟู่ลั่วเฉินขยับตัวเข้าไปใกล้เฟิงฉิ้นหว่าน และได้กลิ่นหอมเย็น ๆ จากตัวของนางอีกครั้ง
กลิ่นหอมเย็นนั้นยังคงรุนแรง ส่งผ่านจมูกเข้าไปยังปอด นำพาความเย็นเยือกเข้าไป
“ไม่เสียใจเจ้าค่ะ !” น้ำเสียงของเฟิงฉิ้นหว่านแน่วแน่เป็นพิเศษ
“ดี หากข้ารู้ว่าเจ้าคิดมีใจเป็นอื่น เช่นนั้น บนโลกนี้จะไม่มีตระกูลเฟิง และไม่มีเจ้า เฟิงฉิ้นหว่านอีกต่อไป !”
เฟิงฉิ้นหว่านยิ้มอย่างมีเสน่ห์ : “ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ ฉิ้นหว่านจะคอยติดตามข้างกายท่านชายตลอดไป เพื่อคอยรับใช้ท่านชายเจ้าค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ