แววตาของเฟิงฉิ้นหว่านเต็มไปด้วยความสุข นางคารวะฟู่ลั่วเฉินด้วยความเคารพ : “ขอบคุณท่านชายที่ยินดีร่วมมือ”
“ไม่ใช่เพราะข้าอยากร่วมมือ แต่เพราะความสามารถของตัวเจ้าเอง”
คนที่สามารถวางแผนตั้งแต่ต้นจนจบได้ ความคิดของเฟิงฉิ้นหว่านผู้นี้ ยากจะหาใครเทียบได้จริง ๆ
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ข้าน้อยรู้ดีว่า หากท่านชายต้องการเก็บกิจการของตระกูลเฟิงเอาไว้ไม่ยอมขาย ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรวบรวมเงินหนึ่งแสนตำลึงจากหนทางอื่น” แววตาของเฟิงฉิ้นหว่านแสดงความขอบคุณออกมา “ท่านชายเพียงแค่ไม่ยินดีที่จะใช้วิธีการเช่นนี้เท่านั้น”
ฟู่ลั่วเฉินหลับตาลงเล็กน้อย ไม่คิดจะโต้แย้งคำพูดของเฟิงฉิ้นหว่านเลยแม้แต่น้อย : “จะนำเงินมาให้เมื่อไหร่ ?”
“ข้าน้อยนำติดตัวมาพอดี ขอเพียงแค่ท่านชายเขียนสัญญาให้ข้าน้อย จากนั้นข้าน้อยก็จะมอบเงินให้เถ้าแก่จินทันที”
เมื่อจินหมิงถูกพูดถึง ก็ถูกหายให้เข้าเต็มปอด และกลับไปอยู่ในสภาพหดหู่อีกครั้ง
ฟู่ลั่นเฉินหันไปสั่งหยุนชวน : “เตรียมหมึกพู่กันมา”
“ขอรับ”
สิบห้านาทีให้หลัง ลายมือที่ชัดเจนของฟู่ลั่วเฉินเขียนอยู่บนหนังสือสัญญา แววตาของเฟิงฉิ้นหว่านดูตกตะลึงเล็กน้อย : “ลายมือของท่านชายช่างสง่างามและเฉียบคมไม่มีใครเทียบได้จริง ๆ”
“หากเจ้าชอบ ข้าจะเขียนคำอวยพรให้เจ้า ให้เจ้านำกลับไปติดดีไหมล่ะ ?”
“ดีสิเจ้าคะ” เฟิงฉิ้นหว่านรีบพยักหน้า
ฟู่ลั่วเฉินเหล่ตามอง หยุนชวนรีบนำกระดาษแผ่นใหญ่เข้ามาให้สองแผ่น และวางลงบนโต๊ะทำงานอย่างระมัดระวัง
ฟู่ลั่วเฉินจรดพู่กันลงไป
ความโหดเหี้ยมช่วยขจัดโพยภัย ความร้ายกาจนำมาซึ่งความรุ่งเรือง
“เป็นอย่างไร ?” ฟู่ลั่วเฉินเลิกคิ้ว
โหดเหี้ยม ร้ายกาจ ?
เฟิงฉิ้นหว่านผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงยิ้มแล้วพยักหน้า : “เมื่อก่อนข้าน้อยไร้เดียงสา ไม่ว่าจะทำการใดก็ยากที่จะตัดสินใจอย่างรวดเร็วได้ ตอนนี้มีคำตักเตือนนี้ของท่านชาย ข้าน้อยจะอ่านทุกวัน และไตร่ตรองความหมายของมัน เพื่อมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ได้ดีขึ้น”
“ข้าว่าเจ้าไม่ต้องเรียนรู้ก็ฝีมือไม่เลวแล้ว”
“จะได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ? โบราณกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ตอนนี้ข้าน้อยรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น” เฟิงฉิ้นหว่านพูดอย่างถ่อมตัว
ฟู่ลั่วเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองดวงตาที่ยิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวของเฟิงฉิ้นหว่าน : “ข้าไม่รู้สึกเช่นนั้น”
ตอนนี้นางเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ซ้ำยังเป็นจิ้งจอกที่ฉลาดที่สุดในบรรดาจิ้งจอกอีกด้วย เป็นจิ้งจอกขาวแสนเจ้าเล่ห์ เต็มไปด้วยขนที่ลื่นไหล ยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีก ?
“ที่แท้ท่านชายชื่นชมฉิ้นหว่านถึงเพียงนี้ เช่นนี้ข้าน้อยคงต้องพยายามรักษาและต่อสู้ เพื่อจะได้ไม่ทำให้ท่านชายต้องผิดหวัง” เฟิงฉิ้นหว่านพูดพลางก็เหลือบมองจินหมิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ว่ากันว่าเพื่อนร่วมงานก็คือศัตรู ตอนนี้นางตัดสินใจที่จะเดินตามต้นไม้ใหญ่อย่างฟู่ลั่วเฉิน จินหมิงซึ่งอยู่ในสายอาชีพเดียวกับนาง จึงถือเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุด ดังนั้นเมื่อปราบปรามได้ก็ต้องรีบปราบปรามโดยเร็ว
เพื่อทำให้ฟู่ลั่วเฉินตระหนักได้ว่านางต่างหากที่ยอดเยี่ยมเหนือใคร เช่นนี้จึงจะได้รับผิดชอบงานสำคัญ กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญที่ไม่อาจขาดไปได้ของเขา
จินหมิงแอบสังเกตเห็นแววตาของเฟิงฉิ้นหว่าน ร่างกายของเขาก็หดลงทันที เดิมทีเขามีรูปร่างที่ผิมบางอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งให้ความรู้สึกที่ดูอ่อนแอ ไร้ที่พึ่ง และน่าสงสาร จนยากที่จะทนดูได้
หยุนชวนยืนฟังอยู่ข้าง ๆ อย่างตกตะลึง เขารู้สึกว่าบทสนทนาระหว่างท่านชายของตนเองและแม่นางเฟิงมีนัยแอบแฝง แต่แอบแฝงเรื่องใดเอาไว้กันแน่ ยากที่จะรู้ได้ ทำให้ชวนสงสัยจนบีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
เฟิงฉิ้นหว่านเป่าตัวอักษรที่ฟู่ลั่วเฉินเขียนให้จนแห้งสนิทแล้วเก็บอย่างดี จากนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มเบิกบาน : “กลับไปข้าน้อยจะหาช่างฝีมือดีที่สุดในหลินผิง นำคำอวยพรของท่านชายใส่กรอบอย่างดี แล้วแขวนเอาไว้ในห้องของข้าน้อย เพื่อชื่นชมทุกวัน”
ฟู่ลั่วเฉินโยนพู่กันลงบนโต๊ะทำงาน แล้วหันมองจินหมิง : “หากให้เงินเจ้าอีกหนึ่งแสนตำลึง เจ้าจะสามารถซื้อสวนชาของตระกูลฉือได้สำเร็จหรือไม่ ?”
จินหมิงรีบตั้งสติ : “ขอบคุณท่านชายที่ให้โอกาสข้าน้อยอีกครั้ง ข้าน้อยจะเอาสวนชาของตระกูลฉือมาให้ได้ขอรับ”
เฟิงฉิ้นหว่านเอ่ยเตือนอยู่ข้าง ๆ : “เถ้าแก่จิน ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ?”
“ไม่จำเป็น”
เฟิงฉิ้นหว่านรีบตั้งสติ : “เชิญท่านชายถามมาได้เลยเจ้าค่ะ”
“หลังจากนี้ไปเจ้าวางแผนไว้เช่นไร ?”
“หลังจากนี้ ?”
“เจ้าหลอกใช้หลี่หยวน ซ้ำยังหลอกใช้ชื่อเสียงขององค์ชายสาม เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากเรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผย จะพบกับผลลัพธ์เช่นไร ? ต่อให้เจ้าจะฉลาดรอบคอบเพียงใด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่อย่างเช่นองค์ชายสามรวมไปถึงหลี่หยวน ก็เหมือนนำหินมากระทบกับไข่ เจ้าคิดทางหนีที่ไล่เอาไว้หรือยัง ?”
ฟู่ลั่วเฉินหันมองมุมปากที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มของเฟิงฉิ้นหว่าน ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แววตาที่เฉียบคมยิ่งดูลึกซึ้งขึ้น ราวกับค่ำคืนในฤดูหนาว ที่ไม่เห็นแสงดาวเลยแม้แต่น้อย
“คิดไว้แล้วแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจ้าคิดจะทำเช่นไร ?”
เฟิงฉิ้นหว่านหัวเราะเบา ๆ : “ท่านชาย หลังจากทำความเข้าใจมาสักพักใหญ่ ข้าน้อยก็แอบรู้มาว่า นายท่านตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังหอเซียวเซียงจุ๋นก็คือองค์ชายสาม”
คิ้วของฟู่ลั่วเฉินกระตุกเล็กน้อย แต่กลับไม่คิดจะปิดบัง : “ไม่เลว”
“องค์ชายสามมีชื่อเสียงโด่งดังในราชสำนัก อีกทั้งความสามารถก็เป็นที่น่ายกย่อง เรื่องนี้หากต้องรอจังหวะที่น้ำลดตอผุด เกรงว่าคงยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร แต่ถ้าหากปล่อยไปเช่นนี้ ผู้ที่ผดุงความยุติธรรมมาโดยตลอดอย่างเช่นใต้เท้าจ้าวจะทำใจยอมรับได้อย่างไร แล้วท่านชายจะหาข้ออ้างเพื่ออยู่ต่อในหลินผิงอีกทำไม ?”
“ว่าต่อซิ”
“ในฐานะที่เป็นผู้รับใช้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ต้องร้อนใจในสิ่งที่ท่านชายร้อนใจ ต้องคิดในสิ่งที่ท่านชายคิด ข้าน้อยกำลังคิดว่า ตอนนี้ท่านชายยากที่จะเปิดโปงองค์ชายสามได้ เช่นนั้นคงต้องใช้หลี่หยวนมาเป็นใบเบิกทาง ดังนั้น ข้าน้อยจึงรวบรวมความกล้าตีสนิทกับหลี่หยวน อย่างไรเสีย ท้ายที่สุดแล้วท่านชายก็ต้องจัดการกับเขาอยู่ดี ขอเพียงแค่เรื่องนี้ถูกเก็บอยู่แค่ภายในหลินผิงเท่านั้น การไปมาหาสู่และการเจรจาค้าขายระหว่างข้าน้อยกับหลี่หยวน สุดท้ายแล้วก็จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ?”
เฟิงฉิ้นหว่านยิ้มหวาน แล้วหันมองฟู่ลั่วเฉินด้วยแววตาชื่นชม
ฟู่ลั่วเฉินยกมือขึ้นหยิกแก้มของเฟิงฉิ้นหว่าน : “เจ้าก่อเรื่องมากมายขนาดนี้ แต่กลับให้ข้าตามจัดการทำความสะอาดให้เจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
เขารู้ดีว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม ถึงขั้นอาจทำให้เฟิงฉิ้นหว่านนึกสงสัยได้ แต่เขาทนไม่ไหวจริง ๆ !
หากไม่หยิกสักสองครั้ง คงจากจะขจัดความอึดอัดในใจได้ !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาบุปผาซ่อนพิษ