ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก นิยาย บท 167

ตอนที่ 167 เป็นหวัด

โม่ฉีหมิงรู้ว่าดล่หวินหลานกำลังคิดอะไรอยู่ ก็แค่ไม่อยากให้เขาโกรธ

“ช่างเถอะ เรื่องก็ผ่านมานานมากแล้ว ขอแค่เรื่องอะไรที่ควรทำทำให้มันเรียบร้อยก็พอเข้าใจไหม?” โม่ฉีหมิงถาม

เรื่องที่ควรทำ? สวินโม่คิดในใจ ไม่รู้เขาหมายถึงเรื่องอะไร? หรือว่าเรื่องฐานะเดิมของหรูซู หรือว่าเรื่องโรคระบาดคราวนี้ ความคิดของโม่ฉีหมิงเดายากมาก สวินโม่ติดตามเขามานานก็ใช่ว่าจะเดาได้ทุกครั้ง

สายตาของสวินโม่บังเอิญมองไปที่โล่หวินหลาน นางกะพริบตาให้เขา เหมือนบอกเขาว่า เขาพูดต่อไปได้ เขาเลยเบาใจ

“ท่านอ๋อง หรูซูไม่ใช่คนเลว แค่ถูกรัชทายาทหลอกใช้ ถึงได้เดินทางผิด ตอนนี้ นางไม่ได้ทำงานให้รัชทายาทอีกต่อไปแล้ว” สวินโม่พูดออกมาอย่างละเอียด ในใจของเขาร้อนดังไฟเผา หากไม่ใช่โล่หวินหลานส่งสัญญาณให้เขา เขาคงไม่รู้จะตอบยังไง

“ถ้างั้นก็ดี อย่าลืมเรื่องพิษด้วยละกัน รีบหายาถอนพิษด้วย เราจะเอายาถอนพิษให้ชาวบ้านกินก่อนที่พวกเขาจะลงมือ” โม่ฉีหมิงพูด

เมื่อเขาพูดจบ สวินโม่กับหรูซูก็ดีใจมาก ทั้งสองคนรีบคำนับโม่ฉีหมิง เมื่อเขาเห็นด้วย ทั้งสองคนก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีก

“ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ช่วยให้สมปรารถนา เรื่องยาถอนพิษข้าจะทำอย่างเต็มที่” สวินโม่ให้คำมั่น

“งั้นก็ดี” โม่ฉีหมิงพยักหน้า เขานวดมือเล็กๆด้านหลังเบาๆ เพื่อปลอบใจ

หลังจากคุยกันสักพัก พวกเขาก็ไม่ได้อยู่จวนสวินต่อ โล่หวินหลานเดิมคิดจะมาศึกษาเรื่องยาถอนพิษกับสวินโม่ แต่ยังไม่ได้พูด นางก็ถูกโม่ฉีหมิงกึ่งบังคับให้ออกจากจวนสวินแล้ว

พ่อบ้านนำรถม้ามารออยู่ที่หน้าปากประตูจวนสวินแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาออกมา ก็รีบลงจากรถม้า แล้วหยิบเก้าอี้เล็กออกมา ให้พวกเขาเหยียบขึ้นรถม้าไป

“ฉีหมิง เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่จวนสวิน?” โล่หวินหลานเห็นพ่อบ้านมารอที่หน้าจวนสวินตั้งแต่ยังไม่ถึงยามเซิน ก็สงสัย นางบอกให้เขาไปรอที่ร้านยาหยงเห๋อตอนยอมเซินนี่นา

ก็คงมีแต่โม่ฉีหมิงเท่านั้นที่เดาได้ว่านางอยู่ไหน

โม่ฉีหมิงมองนางแล้วพูดว่า “ความลับ”

เมื่อโล่หวินหลานได้สติ เขาก็ขึ้นรถม้ามาแล้วนั่งมองหน้านางแล้ว เขายื่นมือออกไปให้นาง “ขึ้นมา”

โล่หวินหลานขึ้นรถม้าไปด้วยการพยุงของเขา ภายในรถม้าอุ่นมาก ทำให้นางรู้สึกสบาย นางถอดหมวกออกมา เอามือไปผิงไฟ ไม่นานนักโม่ฉีหมิงก็จับมือของนางเอาไว้

“เรื่องของหรูซูเจ้าจะไม่ขัดขวางพวกเขาใช่ไหม?” โล่หวินหลานยังรู้สึกกังวล นางเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกันนางมีความสุขมาก

“กังวลอะไรไม่เข้าเรื่อง” โม่ฉีหมิงยืนมือไปบีบจมูกนาง ความเย็นจากจมูกของนางส่งผ่านมาที่มือของเขา สีหน้าของเขาไม่ดีเลย “ทำไมถึงได้เย็นแบบนี้ เมื่อกี้เดินออกมาจากจวนสวินไม่กี่ก้าวเอง”

ฟังจากน้ำเสียงของเขา เขาก็น่าจะไม่ขัดขวาง ไม่งั้นน้ำเสียงของเขาก็คงไม่สบายขนาดนั้น

โล่หวินหลานจับไปที่หน้าของตัวเอง ใบหน้าของนางเย็นราวกับน้ำแข็ง มืออุ่นๆของนางจับไปยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น ไม่สิ มันไม่ควรเย็นขนาดนี้?

“ข้าก็ไม่รู้ อาจจะ .....” ยังพูดทันจบ นางก็จามออกมา น้ำตาไหลเงยหน้ามามองโม่ฉีหมิง แล้วก็จามอีกสองที ตอนแรกนางคิดว่าคงถูกลมพัด คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นหวัด

สีหน้าของโม่ฉีหมิงดูเยือกเย็นกว่าพายุหิมะซะอีก สายตาของเขาเย็นเฉียบ แล้วรีบกอดนางเอาไว้แน่น

“ห้ามขยับ ร่างกายของตัวเองทำไมไม่รู้จักดูแลให้ดี เป็นหวัดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก แล้วเจ้าจะให้ข้าวางใจได้ยังไง?” น้ำเสียของโม่ฉีหมิงดูโกรธมาก เขากำชับทุกครั้งให้นางดูแลตัวเองให้ดี นางไม่พอใจที่เขาพูดทุกครั้ง คิดว่าตัวเองเป็นหมอมีความสามารถมากพอ

โล่หวินหลานสูดน้ำมูก มือของนางโอบเอวเขาเอาไว้ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นได้ยังไง ข้าเป็นหมอ เดี๋ยวข้าไปซื้อยาที่ร้านยาเองก็ได้”

“ไม่ได้ ต้องไปตอนนี้เลย ข้าจะไปกับเจ้า” สีหน้าของโม่ฉีหมิงดุมาก ไม่ยอมให้นางขยับไปไหนเลย แล้วหันไปสั่งพ่อบ้านว่า “กลับรถ ไปร้านยาหยงเห๋อ”

สิ่งที่เขาทำโล่หวินหลานปฏิเสธไม่ได้เลย ตอนนี้สัมผัสได้ถึงการมีคนมาคอยปกป้อง มีคนคอยห่วง มีคนใส่ใจ มันทำให้นางรู้ว่าต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ต้องการถูกคนรักและเอาใจใส่

นางเป็นคนมั่นใจในตัวเองตลอด คิดว่าคนอื่นคงไม่ได้ดูแลดีไปกว่าตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่โม่ฉีหมิงทำนั้นมันทำให้นางเบาใจ แล้วก็ยอมรับความรักของเขา

เพราะว่าเถ้าแก่ยังไม่กลับมา ดังนั้นคนที่ตรวจชีพจรแล้วก็จัดยาก็คือคนที่ร้านที่นางเจอเมื่อครู่ เขาเป็นลูกศิษย์สายตรงของเถ้าแก่ ถึงแม้จะยังเล่าเรียนไม่จบ แต่วิชาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเถ้าแก่ร้านเลย

โล่หวินหลานรีบลุกขึ้นมา

“เป็นยังไงบ้าง?”

“ถึงแม้ภาพรวมจะเหมือนกัน แต่ว่าที่อาจารย์จดเอาไว้ในนี้มันเหมือนจะรุนแรงกว่าที่ท่านพูดเมื่อกี้” คนคนนั้นรู้สึกเสียดาย เขายื่นตำราสีน้ำเงินออกมาหนึ่งเล่ม มันค่อนข้างหนา แล้วก็เก่ามาก มันเหลืองและมีกลิ่นที่บ่งบอกถึงความเก่า

เขาเปิดหาจนเกือบสุดเล่มถึงหาเจอ แสดงว่าอาจารย์ของเขาจะต้องเจออาการแบบนี้เมื่อนานมากแล้ว

“ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?” โล่หวินหลานกำลังจะเดินไปข้างๆเขา แล้วดูไปพร้อมกับเขา คนคนนั้นก็ใจกว้างมากที่จะยื่นหนังสือให้กับโล่หวินหลาน แต่ว่ายังไม่ทันได้เดินไป โม่ฉีหมิงก็พูดขึ้นมาว่า

“ไม่ต้องดูแล้ว ลักษณะอาการที่บันทึกในนั้นถึงแม้จะเหมือนกันมาก แต่ว่ามันเป็นอาการสองอย่างที่แตกต่างกัน อาการในหนังสือนั่นน่าจะเขียนไว้ว่าร่างกายเน่าเปื่อย มีตุ่มหนองขึ้นไม่หยุด แพร่ระบาดเร็วมาก แต่ว่าร่างกายสัมผัสกันส่วนที่ถูกสัมผัสก็จะเริ่มเน่า น้ำลาย เลือด เนื้อส่วนที่เน่าเปื่อย ต่างเป็นสาเหตุของการแพร่กระจาย โรคนี้เป็นโรคระบาดที่หายากมาก ไม่มียารักษา ถูกเรียกว่ากาฬโรค” โม่ฉีหมิงพูดออกมาอย่างละเอียด

เมื่อพูดจบ สีหน้าของคนคนนั้นก็อึ้งไป เขาอ้าปากค้างเหมือนไข่ไก่ แล้วมองไปที่โม่ฉีหมิง “ท่าน ท่านรู้ได้ยังไง? ที่ท่านพูดเหมือนกับที่จดอยู่ในนี้ไม่มีผิดแม้แต่คำเดียว”

เหมือนกันไม่มีผิด? โล่หวินหลานเชื่อว่าโม่ฉีหมิงสามารถเล่าอาการของกาฬโรคเมื่อสิบปีที่แล้วได้ แต่ว่าจะพูออกมาโดยไม่มีผิดเลยจากในหนังสือแบบนี้มันแปลกไปหน่อย เพราะความคิดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อาการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่เขียนขึ้นมันแสดงความคิดความอ่านของแต่ละบุคคล มีแต่คล้ายคลึง แต่ไม่มีทางเหมือนกัน

“ขอหนังสือให้ข้าดูหน่อย” โล่หวินหลานหยิบมาดูด้วยความสงสัย สายตาจ้องไปที่ตัวอักษรที่เหมือนกับที่โม่ฉีหมิงพูด

นางไม่อยากจะเชื่อเลย “เหมือนกันทุกอย่าง เหมือนกันจริงๆด้วย ฉีหมิง มันเรื่องอะไรกัน?”

จริงๆเรื่องนี้ง่ายมาก โม่ฉีหมิงอธิบายว่า “เพราะเนื้อหาที่อยู่บนนั้น เป็นข้อความที่ข้าเขียนแล้วติดประกาศไว้ทั่วเมืองหลวง”

“ท่านนี่เอง” คนคนนั้นรู้สึกตกใจ “โรคกาฬโรคระบาดเมื่อสิบปีที่แล้วในเมืองหลวง มันน่ากลัวมาก แต่ว่าทำไมถึงหาทางรักษาไม่ได้ล่ะ?”

โม่ฉีหมิงหน้านิ่งไป เหมือนกำลังนึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น “กาฬโรคไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ตอนนั้นทำได้แค่นำคนที่เป็นโรคไปกักเอาไว้ที่ที่หนึ่ง ให้พวกเขาค่อยๆตายไป จากนั้นก็จุดไฟเผา ทำให้ตัวเชื้อของมันไม่กระจายตัวไป ถึงแม้มันจะเป็นวิธีที่โหดร้ายเกินไป แต่ว่าตอนนั้นไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้ว”

หากมีวิธีเสด็จพ่อของเขาคงไม่ทนให้ลูกชายตัวเองหนึ่งคนต้องตายไปเพราะกาฬโรคหรอก

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก