ตอนที่172 พลิกผันไปมา
“ไม่เอา ข้าไม่กลับ เมื่อกี้เจ้ายังรังเกียจข้าที่เป็นสตรีที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่หรือ? เจ้าก็เดินด้วยไม้ค้ำเองแล้วกันอยากไปไหนก็ไป! ข้าไม่สนแล้ว!” ด่องหย่าสะบัดมือที่เกาะกุมไหล่นางไว้ทิ้ง หันหลังกลับอย่างไม่เหลียวหลังอีก
ถึงจะอย่างไรก็ตามด่องหย่าก็เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ ตั้งแต่เล็กจนโตถูกดูแลฟูมฟักเหมือนไข่ในหิน ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องแค่นี้ ก็มีด่องห้วนที่คอยดูแลตามใจนางทุกสิ่งอย่าง พอรู้สึกไม่พอใจอะไรขึ้นมาก็จะไม่สนใจถูกผิด ต้องให้คนตามพะเน้าพะนอเอาใจนางให้ได้
ความจริงแล้วด่องห้วนคุ้นชินแล้ว แอบตามใจนางจนเคยตัว ให้นางอาละวาด ถึงอย่างไรชาตินี้เขาก็ยอมแล้ว
แต่ว่าตอนนี้อยู่ในตำหนักหมิงอ๋อง อีกอย่างโม่ฉีหมิงกับโล่หวินหลานกำลังจับจ้องตัวเองอยู่ หากตอนนี้เขาตามใจด่องหย่า เขายังจะมีหน้าพบใครอีก
“ดี ข้าไปล่ะ รอจนเจ้าคิดได้เองแล้วค่อยกลับมาแล้วกัน”ด่องห้วนเก็บสีหน้าไว้ ทิ้งไม้ค้ำที่อยู่ในมือสีดังสนั่น ตัวเองค่อยๆจับราวเฉลียงทางเดินค่อยๆก้าวไปข้างหน้า
ไม่ว่าเขาจะก้มหัวอย่างไร ตามใจอย่างไร นางก็ไม่สามารถรู้ถึงความลำบากของเขาได้
ช่างเถอะ หากครั้งนี้ไม่แสดงสีหน้าให้นางรู้บ้าง กลัวว่าชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เป็นดั่งที่คิด เขาก้าวเท้ายิ่งอยู่ยิ่งเร็ว
ด่องหย่ามองหลังกำยำของเขาเดินห่างออกไปเหมือนดั่งมีหินที่วางทับอยู่บนอก ค่อยๆเคลื่อนย้ายออกไป ไม่ค่อยปกป้องนาง สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
“ด่องหย่า พวกเจ้าสองคนทะเลาะกันหรอ?” โล่หวินหลานมองๆอยู่บ้าง
“เป็นเขาต่างหากที่ตั้งใจทะเลาะกับข้า ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย เขาก็ทำอย่างนี้......” ด่องหย่าสะอึกสะอื้นขึ้นมา โล่หวินหลานรีบไปกุมมือนางแน่น
คนที่อยู่ในสถานการณ์จะมองไม่ทะลุ แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์จะมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ด่องหย่าคิดว่าด่องห้วนกำลังโกรธนางอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นกลับไม่ใช่อย่างนั้น โล่หวินหลานรู้ดีว่าด่องหย่าคิดอะไรอยู่ ได้แต่ตบไหล่นางเบาๆ
“พวกเจ้าทั้งสองต่างเป็นห่วงซึ่งกันและกัน แล้วทำไมต้องทำเป็นเหินห่างกับอีกฝ่ายด้วยล่ะ ข้าดูออกว่าด่องห้วนแค่ไม่อยากเสียหน้า เจ้าไปอ้อนเขาเถอะ เขาไม่โกรธโมโหเจ้าอย่างแน่นอน” โล่หวินหลานพูดกล่าวชี้แนะอย่างมั่นใจ
“จริงๆหรอ?” ด่องหย่าถามขึ้นอย่างสะอึกสะอื้น
“จริงน่ะสิ รีบไปเถอะ บาดแผลที่แขนของเขายังไม่ให้ดี อย่าให้เขาบาดเจ็บซ้ำอีกเลย” โล่หวินหลานเตือนอย่างห่วงใย
ด่องหย่ารู้สึกอยากกลับบ้านตั้งนานแล้วเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู เสียงของนางพึ่งพูดจบ ตัวคนรอแทบอดใจไม่ไหวรีบวิ่งพุ่งไป บนทางเดินเฉลียงเหลือไว้เพียงแต่ชายเสื้อ
“เจ้าดูคนออกจริงๆ” โม่ฉีหมิงก้าวขึ้นมาเดินเคียงคู่ไปกับนาง ค่อยๆหันหน้าไปมองใบหน้าที่เขินจนแดงก่ำ
“เป็นอย่างนี้กันหมดไม่ใช่หรือ? เรื่องแบบนี้ดูแปบเดียวก็ดูออกแล้ว” โล่หวินหลานยักคิ้วหลิ่วตาไปทางโม่ฉีหมิง นัยน์ตาคู่สวยสว่างไสวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ดูแปบเดียวก็รู้แล้วอย่างนั้นหรือ?” โม่ฉีหมิงขมวดคิ้วปากพูดขมุบขมิบ นางดูปราดเดียวก็ดูออกจริงหรือ?
“ไปกันเถอะ พวกเรายังต้องไปดูเย่หวินอีกเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่กลับมาจากเมื่อคืนวาน พวกเรายังไม่ได้ไปดูเลย” โล่หวินหลานสะกิดโม่ฉีหมิงที่ยังคงตกตะลึงพึงเพริศอยู่ เดินไปทางห้องหนังสือ
ขอเพียงแค่มือของนางวางไว้บนมือของโม่ฉีหมิง ไม่ว่าจะไปที่ไหน เขาก็สามารถตามนางไปได้ทุกที่
ห้องของเย่หวินอยู่มุมทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เหมือนกับสาวใช้คนอื่นที่พักอยู่ตามมุมส่วนใดส่วนหนึ่งในจวน แต่มีห้องเป็นของตัวเอง หากนับดูแล้ว นางไม่ใช่สาวใช้ เป็นเพียงแค่หลังจากที่โล่หวินหลานแต่งเข้ามานางต้องตามมารับใช้ปรนนิบัติ
ทั้งคู่เดินได้พักหนึ่ง เดินผ่านสระที่ถูกความหนาวเย็นของอากาศพัดผ่านหิมะปกคลุมจนทำให้สระแข็งเป็นน้ำแข็ง เดินผ่านท่ามกลางหิมะหนาวเหน็บมายังทางมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้
สภาพอากาศลมหิมะภายนอกไม่ค่อยแรงมาก กลับกันอากาศด้านนอกกลับไม่เลวเลย ม่านหน้าต่างอันหนาเตอะถูกลู่ไปกับบานหน้าต่าง ถึงจะตั้งใจฟังอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้ว่าคนด้านในคุยอะไรกันอยู่
“ท่านอ๋อง หวังเฟย พวกท่านมาด้วยตัวเองเลยหรือ? ข้ากับฉินหยิ่นกำลังจะเอาสิ่งนี้มอบให้พวกท่านพอดี” เย่หวินได้ยินเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที บนใบหน้ารู้สึกตกใจเล็กน้อย
“ของอะไร?” โม่ฉีหมิงถามขึ้น เสียงของรองเท้าดังมาจากบนพื้นแผ่วเบา
เย่หวินหยิบผ้ากำมะหยี่สีสวยออกมาจากด้านหลังอย่างยากลำบาก ผ้ากำมะหยี่สีทองอร่ามทอแสงประกายแวววาวอยู่ด้านนอกช่างงามตายิ่งนัก นางยื่นมือไปเปิดผ้ากำมะหยี่ผืนนั้นออก ด้านในมีของเล็กๆ เป็นกล่องธรรมดาอันหนึ่ง ช่างเล็กกะทัดรัดแต่ประณีตบรรจง
“นี่เป็นของที่เมื่อวานข้าไล่ตามคนกลุ่มนั้นและเป็นกล่องที่พวกนั้นทำตกไว้ ข้ายังไม่ได้เปิดดูว่าเป็นอะไร ข้าเดาว่าน่าจะเป็นยาที่พวกนั้นใช้กินอยู่” เย่หวินยื่นกล่องไปข้างหน้า พลางพูด
กล่องนั้นไม่ใหญ่ และก็ไม่มีกลอนล็อกอะไรไว้ เปิดออกมาดู ก็มีกลิ่นเหม็นฉุนโพยพุ่งออกมา ผ่านไปไม่นานในห้องก็อบอวลไปด้วยกลิ่นของไต้ฝอเฉิงช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
ทุกคนอยากดูสิ่งของด้านในแทบอดใจไม่ไหว อยากดูว่าของอะไรกันแน่ถึงมีกลิ่นเหม็นฉุนขนาดนี้ได้
นางไม่กล้าคิดกล้าฝันว่าจะมีคนขายประเทศชาติของตัวเอง ขายแม้กระทั่งที่ที่ให้กำเนิดตัวเอง หากเป็นอย่างนี้ คนๆนั้นต้องมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต หรือเรียกได้ว่าไม่มีหัวใจ
“ไม่ นี่เป็นแค่การคาดการณ์ของข้า หรือเรื่องราวอาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้ แต่ว่าการแพร่ระเบิดครั้งนี้อาจมีต้นเหตุมาจากแคว้นเซิ่งโจวก็เป็นได้ เมืองเล็กๆนั่น หากจะสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมา ข้าในนามโม่ฉีไม่ปล่อยมันไว้แน่” น้ำเสียงของโม่ฉีหมิงเต็มไปด้วยความเด็ดขาดดุดัน เลือดจักรพรรดิในตัวเขาโพยพุ่งออกมาจากตัวเขา คนที่ได้เห็นต่างต้องรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัวอย่างแน่นอน
ยังไม่ได้ตำแหน่งจักรพรรดิ แต่กลับมีกลิ่นอายของความเป็นจักรพรรดิ ในใจของโล่หวินหลานเต็มตื่นยิ่งนัก ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าเขาจะแปรเปลี่ยนเป็นคนเช่นร
“เจ้าบอกว่าเรื่องนี้รัชทายาทกำลังตรวจสอบอยู่ไม่ใช่หรือ? รัชทายาทตรวจเจออะไรบางอย่างรึเปล่า?” โล่หวินหลานพูดคนเดียวเงียบๆ
พอพูดจบ สายตาของโม่ฉีหมิงก็เย็นลง ค่อยๆส่งสายตาค้อนให้โล่หวินหลาน นางพึ่งรู้สึกตัวว่าพูดอะไรผิด ค่อยๆยกแก้วจิบน้ำในแก้ว
“เรื่องนี้พวกเรานำหน้าไปก้าวหนึ่งแล้ว รัชทายาทไม่มีโอกาสแล้ว ครั้งนี้พวกเราดูสิว่าเขาจะรายงานเสด็จพ่ออย่างไร” โม่ฉีหมิงพูดขึ้นอย่างช้าๆ ความจริงแล้วเรื่องที่เขากังวลไม่ใช่รัชทายาท แต่เป็นเวินอ๋องที่โผล่อยู่ในซอยแห่งนั้นพร้อมเขาต่างหาก
นับตั้งแต่ฮ่องเต้เจียเฉิงมีราชโองการให้เขาแต่งดองกับเย่เซียวหลัว เขาออกจากจวนน้อยมาก มาวันนี้กลับออกมาจากจวนเพราะข่าวการแพร่ระบาดของโรค ติดตามมาจนถึงซอยนั้น นี่เป็นหลักฐานว่าหลายวันมานี้เขาไม่ได้นิ่งดูดายตอนอยู่ในจวน ในมือเขาต้องมีคนคอยจัดการเรื่องเป็นหูเป็นตาให้เขา
“ท่านอ๋อง ในเมื่อไม่ต้องกังวลรัชทายาท ถ้าอย่างนั้นพวกเรามีชัยไปกว่าครึ่งใช่หรือไม่? แค่จับคนพวกนั้นมาสอบปากคำให้ได้ แค่นี้กลุ่มคนพวกนั้นก็ปล่อยออกมาหมดแล้วไม่ใช่หรือ?” เย่หวินดีใจลิงโลดอยู่ข้างๆ
โม่ฉีหมิงส่ายหัวไปมา “คนพวกนั้นถูกเวินอ๋องสังหารหมดแล้ว”
“เวินอ๋อง?” เย่หวินขมวดคิ้วเป็นปม บนหน้าผากยังคงความสงสัย “เขาปรากฏตัวออกมาได้อย่างไร? เหตุใดต้องสังหารคนพวกนั้น? ไม่ใช่ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นหรอกนะ?”
“ยังไม่แน่ชัด พวกเราไม่มีหลักฐาน ได้แค่ค่อยๆก้าวไปทีละก้าว”
เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ทำให้โม่ฉีหมิงสงสัยไม่หายคือกลุ่มคนพวกนั้นไม่ใช่ผู้ป่วย แต่เป็นปรมาจารย์ในแคว้นเซิ่งโจว เหตุใดถึงมาโม่ฉีด้วยตัวเอง?
พอออกจากห้องของเย่หวิน โม่ฉีหมิงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ถึงได้ให้พ่อบ้านไปเตรียมรถม้า เตรียมตัวเข้าวังหลวง
“เจ้าอู่ในจวนดีๆนะ รอข้ากลับมาอย่าดื้อ อย่าเถลไถล เข้าใจไหม?” โม่ฉีหมิงตั้งใจออกคำสั่งโล่หวินหลาน มือใหญ่กุมเรียวหน้ารูปไข่อย่างเบามือ
โล่หวินหลานพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก