ตอนที่173 แผนซ้อนแผน
พระราชวังอันรโหฐานมีเหล่าบรรดานางข้าหลวงและขันทีเดินเรียงกันเป็นแถวระเบียบเรียบร้อย กำลังเดินผ่านด้านนอกของห้องโถงพระตำหนักลงบันได ด้านนอกมีหิมะร่วงโรยโปรยลงมาพวกเขาย่ำเท้าลงบนพื้นที่มีหิมะปูอยู่เต็มไปหมดทำให้เป็นรอยเท้ากระจายเป็นรูปดอกไม้สวยสะอาดตา
โม่ฉีหมิงเดินตรงมาจากรั้วประตูวังขึ้นบันได ขณะกำลังเดินไปหน้าห้องทรงอักษร แต่กลับถูกขันทีด้านนอกห้ามเอาไว้
“หมิงอ๋อง ฮ่องเต้กำลังเสวนากับรัชทายาท ท่านโปรดรอสักครู่เถิด เดี๋ยวหม่อมฉันจะขึ้นไปทูลให้ฮ่องเต้ทราบ” ขันทีค่อยๆโค้งคำนับ กำลังหมุนตัวจะเข้าไป ขณะกำลังก้าวเท้าก็ถูกโม่ฉีหมิงห้ามไว้
“ไม่ต้องทูลหรอก เดี๋ยวข้ารอสักครู่ก็ได้” โม่ฉีหมิงเอ่ยอย่างเรียบๆ สายตามองไปที่อื่น คิดแล้วคิดอีกจึงพูดต่อ “ด้านในมีรัชทายาทคนเดียวหรือ?”
ขันทีพยักหน้า “ตอบท่านอ๋อง ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ถึงหน้าตาจะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยคำถาม นอกจากครั้งที่แล้วที่รัชทายาทมาเข้าพบฮ่องเต้พร้อมกันแล้วก็ไม่มีครั้งไหนอีกที่มาพร้อมกัน แต่ทำไมวันนี้กลับมาเข้าพบเสด็จพ่อเพียงลำพังล่ะ
ขันทีคนนี้อยู่ดูแลปรนนิบัติตรงหน้าห้องทรงอักษรอย่างต่ำก็น่าจะเป็นสิบปีแล้ว ผ่านเห็นเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงต่างๆมานับไม่ถ้วน รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้ราชสำนักเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าโม่ฉีหมิงจะร่างกายพิการไม่ได้รับความรักใคร่เอ็นดู แต่รัชทายาทก็ร่างกายไม่แข็งแรงป่วยง่ายตั้งแต่เด็ก ตำแหน่งรัชทายาทเป็นเพียงเปลือกนอก มาวันนี้ ทั้งสองต่างมีผลประโยชน์ต่างกัน เขาย่อมต้องรู้สึกว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า
“ท่านอ๋อง ท่านเชิญนั่งก่อน เกรงว่ารัชทายาทจะไม่ได้ออกมาเร็วขนาดนั้น เดี๋ยวรู้สึกเมื่อยเปล่าๆ” หลังจากที่ขันทีใหญ่ใช้ขันทีเล็กไปเอาเก้าอี้มาตั้งไว้ ก็โค้งคำนับ
“ดี” โม่ฉีหมิงยิ้มให้ขันที พลางพยักหน้าเห็นชอบ
ขันทีคนนี้เป็นคนที่คอยรับใช้อยู่ห้องทรงอักษร ความรู้ความสามารถก็ไม่ได้น้อยกว่าจ้าวกงกง ถึงแม้ว่าตำแหน่งจะเทียบกับจ้าวกงกงไม่ได้ แต่ความละเอียดลออก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครเลย โม่ฉีหมิงครุ่นคิดในใจอยู่พักใหญ่ ก็ค่อยๆลุกขึ้นยืนขึ้น
“กงๆ เจ้ารู้ไหมว่าทำไมเสด็จพ่อถึงเรียกรัชทายาทเข้าพบ? หากเป็นเรื่องสำคัญข้าจะได้ไม่ต้องรอต่อ” โม่ฉีหมิงลุกขึ้นยืน ถามขึ้นอย่างสีหน้าไม่เปลี่ยน
ขันทีผู้นั้นคิดอยู่สักครู่ ก็ตอบขึ้นอย่างรวดเร็ว “หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจ น่าจะไม่พ้นเรื่องภายในราชสำนัก แต่ตอนที่กระหม่อมยกน้ำชาเข้าไปถวาย ก็ได้ยินว่านอกเมืองตอนนี้กำลังมีโรคระบาด เหมือนกับตอนนี้จะจับตัวคนร้ายได้แล้ว” ขันทีคนนั้นดูสีหน้าของโม่ฉีหมิงเพียงครู่ ก็พูดต่อ “มากกว่านี้กระหม่อมก็ไม่รู้อะไร รู้แค่เรื่องคร่าวๆแค่นี้ ท่านอ๋องคิดว่าสำคัญไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฟังขันทีผู้นั้นพูดจบ โม่ฉีหมิงก็ตั้งคำถามในใจขึ้นมา หลายวันก่อนเสด็จพ่อสั่งการให้รัชทายาทไปตรวจสอบเรื่องของโรคระบาด แต่คนร้ายพวกนั้นกลับปรากฏตัวขึ้นพอดิบพอดี ทำไมรัชทายาทถึงจับคนร้ายได้?
หากเป็นเรื่องจริงก็แล้วไป แต่หากเป็นเรื่องเท็จ ขอแค่เอาหลักฐานเข้าพบเสด็จพ่อ ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าเข้าพูดโกหก
แต่ฟังแค่คำพูดของข้าหลวง ก็จะด่วนสรุปเกินไป หากเขากำลังปิดบังตัวเอง และคนพวกนั้นเป็นคนของรัชทายาท ถ้าอย่างนั้นตนเองก็เสียเปรียบน่ะสิ
พอคิดทบทวนเสร็จ โม่ฉีหมิงก็ไม่มีท่าทีอะไร ก็นำก้อนเงินออกมาจากชายเสื้อของตัวเองอย่างเงียบๆ แล้วจึงเดินผ่านขันทีพร้อมยื่นเงินไปให้เขา
ขันทีผู้นั้นก็รับอย่างรวดเร็ว ท่าทางการเดินผ่านไหล่เพียงชั่วครู่นั้นต่อด้วยการยื่นมือรับเงินก้อน
เดินกลับตำหนักอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้พักหายมจหายคอ ก็พาฉินหยิ่น ไปซอยที่เกิดเรื่องแห่งนั้น
ดูจากตรอกซอกซอยในนั้น ด้านในสกปรกรกรุงรัง เหมือนดั่งคราวก่อนที่มา เลือดที่หยดตามพื้นหิมะไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้ถูกคนกวาดทำลายหลักฐานจนสิ้น ดูไม่รู้เลยว่าเคยมีคนผ่านมาที่นี่ และเคยต่อสู้กัน
“ท่านอ๋อง ตรงนี้ยังมีปัญหาอะไรอยู่ไหมท่าน?” ฉินหยิ่นถามขึ้นอย่างสงสัย
กลุ่มคนพวกนั้นถูกพวกเขาจัดการหมดแล้วไม่ใช่หรอ? รวมถึงคนสุดท้าย พวกเขาเห็นกับตาตัวเองตอนถูกเวินอ๋องฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด
“วันนี้ข้าไปเข้าวัง เสด็จพ่อกำลังเสวนากับรัชทายาท อีกทั้งกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องโรคระบาด ข้าสงสัยว่ากลุ่มคนพวกนั้นไม่ได้ถูกพวกเราฆ่าตาย กลับกันกับถูกช่วยชีวิตไว้?” โม่ฉีหมิงยกเท้าขึ้น ใช้ปลายรองเท้าบูทเขี่ยตำแหน่งที่เคยมีเลือดหยดอยู่ รอยคราบเลือดถูกทำลายหลักฐานทิ้งจนสิ้น เหลือไว้เพียงแค่หิมะที่โรยลงมาอย่างจางๆ
วันนั้น ตำแหน่งนี้คือเวินอ๋องใช้ดาบสังหารคนผู้นั้น เลือดไหลออกจากอกของเขาอย่างไม่หยุด สาดกระจายเต็มพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
แต่วันนี้รอยคราบเลือดกลับไม่เหลือทิ้งไว้ ถึงจะผ่านไปแค่หนึ่งวัน หิมะจะหนาหรือลึกแค่ไหน ก็ไม่สามารถจะลบลบรอยคราบเลือดพวกนี้ไปได้อย่างสะอาดหมดจด
“ท่านอ๋อง ไม่มีรอยคราบเลือดแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าอาจจะถูกพายุลมหรือหิมะกวาดทิ้งจนหมด?” ฉินหยิ่นเตะไปที่พื้นสองสามทีแล้วเอ่ยขึ้น
โม่ฉีหมิงขมวดคิ้วหนักขึ้น แทบจะรวมกันเป็นกระจุก ตอบเสียงเย็น “ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ไม่แน่ ในนี้อาจจะมีกับดักอะไรซ่อนอยู่”
สายตาของเขากวาดดูไปรอบๆรอยหิมะบนพื้น ใช้มือค่อยสัมผัสหิมะบนพื้นอย่างละเอียด ปุยหิมะขาวเกาะตามมือของเขา เขานำเข้าปากชิมอย่างสงสัย คราวนี้คิ้วขมวดแน่นขึ้น
“ไม่ใช่รสชาติของเลือด!” เขาคายหิมะออกมา พูดเสียงเข้ม “ฉินหยิ่น ไปหาดาบที่เวินอ๋องทิ้งในวันนั้นมา บนนั้นต้องมีความลับอะไรเป็นแน่”
หลังจากสังหารแล้ว เวินอ๋องโยนดาบนั้นทิ้ง
ใช้ดาบยาวคลำทางที่ลึกข้างหน้า นำดาบขึ้นมาดู ด้านบนไม่มีอะไรติดมา ไม่มีร่องรอยของดินโคลน
“ท่านอ๋อง ดูแล้วข้างในนี้เป็นทางเข้าลับที่ถูกขุดมาเป็นเวลานานแล้ว” ฉินหยิ่นพูดกับโม่ฉีหมิงจบ ก็กระโดดลงไปข้างล่าง
ด้านในมีระยะลึกแค่ไม่กี่เมตร ฉินหยิ่นกวาดวาดฟันดาบไปข้างหน้าสำรวจโดยรอบ แล้วจึงหยิบไม้ขีดไฟตรงเอวขึ้นมาจุด แสงสว่างจากไม้ขีดไฟทำให้สังเกตเห็นบรรยากาศโดยรอบของทางเข้าลับแห่งนี้
นี่เป็นแค่ที่หลบภัยธรรมดาแห่งหนึ่ง นอกจากว่าจะผ่านมาได้ทีละคน ด้านในก็ไม่มีของอะไร ถึงแม้จะเป็นทางธรรมดาแต่ก็ไม่มีที่วางเทียนอะไร
“ท่านอ๋องท่านจะ.......” ฉินหยิ่นที่กำลังจะเอ่ยเรียก พูดยังไม่ทันจบ ด้านจ้างก็มีร่างหนึ่งกระโดดลงมาเสียแล้ว
“พวกเราเดินไปข้างหน้าเถอะ ดูว่าทางลับแห่งนี้จะไปโผล่ที่ไหน” โม่ฉีหมิงแสยะยิ้มขึ้น ร่างสูงก็เดินผ่านตัวเขานำไปข้างหน้าแล้ว
ฉินหยิ่นไม่พูดอะไรต่อเดินตามโม่ฉีหมิงไปอย่างเงียบๆ
ทางลับด้านในมืดมาก นอกจากจะมีแสงสว่างอันน้อยนิดจากไม่ขีดไฟในมือทั้งสอง ก็ไม่มีแสงสว่างใดๆอีก ในความมืดนี้ นอกจากเสียงของหยดน้ำ ก็มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่
ขณะกำลังเดินอย่างเงียบๆ สีหน้าของโม่ฉีหมิงขรึมขึ้น เสียงก้าวเท้าหยุดลง พูดขึ้นด้วยเสียงกร้าว “ใคร? ออกมาเดี๋ยวนี้?”
ข้างหลังมีคน? ฉินหยิ่นเดินมานานขนาดนี้กลับไม่รู้สึกอะไร! เขากำดาบขึ้น กวาดไปที่ความมืดอย่างแม่นยำ
ทางลับแห่งนี้กลับมีเสียงลมหายใจของบุคคลที่สามดังขึ้น
“ข้าเอง! ตามมาไกลนานขนาดนี้ถึงพึ่งสังเกต ช่างไม่มืออาชีพเอาเสียเลย” โล่หวินหลานค้อนเสียงดัง เดินมาข้างหน้าแล้วยิ้มแหยๆให้ทั้งคู่
โม่ฉีหมิงจับคลำไปตามตัวนางทั้งตัวท่ามกลางความมืด สุดท้ายจึงยื่นมือดึงนางเข้ามากอด ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความตำหนิ “เจ้ามาได้ยังไง? ทำไมไม่รอข้าอยู่ในจวน?”
โล่หวินหลานก้มหัวมองพื้น คิดถึงตอนที่นางสะกดรอยตามพวกเขามาตลอดทาง ไม่มีใครสังเกตเห็นนาง ในใจรู้สึกดีใจจนลิงโลด
“เจ้ากลับไปรอข้าที่จวนเถอะ เอาฉินหยิ่นกลับไปด้วย ข้านึกว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เลยตามเจ้ามา” โล่หวินหลานยักคิ้วกวนขึ้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาข้ามภพ พิชิตใจท่านอ๋องไร้รัก