ในเมื่อมู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไร เสิ่นเหลียงก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน
เสิ่นเหลียงพามู่น่อนน่อนไปนั่งข้างกู้จือหยั่น
ถัดจากกู้จือหยั่นคือเฉินถิงเซียว ถัดจากเฉินถิงเซียวก็คือผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้น ถัดจากผู้หญิงคนนั้นก็คือเฉินจิ่งหยุ้น และถัดจากเฉินจิ่งหยุ้นก็คือสือเย่
ผู้หญิงคนนั้นกำลังพูดคุยกับเฉินจิ่งหยุ้น และมีบางครั้งที่เธอเอนตัวไปทางเฉินถิงเซียวเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
เฉินถิงเซียวคาบบุหรี่อยู่ในปาก และเขาก็ไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นมากนัก
มู่น่อนน่อนถอนสายตาจากพวกเขา เพราะเธอรู้สึกว่าเสิ่นเหลียงกำลังดันแขนของเธอ
เธอหันไปมองทางเสิ่นเหลียง เสิ่นเหลียงชี้ไปที่โทรศัพท์มือถือของเธอ
วินาทีถัดมา เธอก็ได้รับข้อความจากเสิ่นเหลียง
“ผู้หญิงคนนั้นชื่อซูเหมียน เป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ เหมือนพ่อแม่ของเธอจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง และฐานะทางครอบครัวก็ไม่เลวเลย เฉินจิ่งหยุ้นต้องการจับคู่เฉินถิงเซียวกับซูเหมียน”
ซูเหมียน
มู่น่อนน่อนเอ่ยชื่อในใจ
ชื่อไพเราะมากเลย
ในห้องเงียบสงบมาก ทุกคนต่างก็ถือแก้วของตัวเองเพื่อดื่ม และพูดคุยกัน
มู่น่อนน่อนหลับตาลง เธอไม่ได้มองไปที่เฉินถิงเซียว
อันที่จริงนี่เป็นเรื่องปกติมาก
ตอนนี้เฉินถิงเซียวโสดในสายตาของคนนอก อย่างไรตระกูลเฉินก็ต้องหาผู้หญิงคนอื่นให้เขาอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น จากสถานะปัจจุบันและภูมิหลังครอบครัวของเฉินถิงเซียว ผู้หญิงที่ตระกูลเฉินหาให้เขานั้นจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
ต้องเป็นตระกูลที่เหมาะสมกัน มีรูปลักษณ์หน้าที่สวยงาม และมีความสามารถที่โดดเด่น
ผู้หญิงแบบนี้ ถึงจะคู่ควรกับสถานะของตระกูลเฉิน
เพียงแต่เธอไม่คิดว่า มันจะมาแบบกะทันหันแบบนี้
เสิ่นเหลียงเห็นว่ามู่น่อนน่อนไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะเข้าไปหาเธอ และถามเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “เธอไม่มีอะไรจะพูดเหรอ?”
“ไม่มี” มู่น่อนน่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ และกระซิบตอบเธอข้างหู “ฉันจะพูดอะไรได้?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นเหลียงก็ขมวดคิ้ว
ก็จริง จากสถานการณ์ปัจจุบันของเฉินถิงเซียวและมู่น่อนน่อนแล้ว มู่น่อนน่อนจะใช้สถานะอะไรและจุดยืนอะไรเพื่อพูด?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสิ่นเหลียงก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
มู่น่อนน่อนเป็นภรรยาแท้ๆ แต่ในเวลานี้เธอกลับต้องมามองดูคนอื่นที่พยายามจะหาผู้หญิงให้กับเฉินถิงเซียว
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องยุ่งๆ ของตระกูลเฉิน มู่น่อนน่อนก็คงไม่ต้องทรมานตัวเองแบบนี้
สำหรับเสิ่นเหลียงแล้ว กู้จือหยั่นก็เป็นเพียงสุนัขตัวเล็กๆ ที่เอาแต่กระดิกหางเพื่อเอาใจเธอ
เขาหยิบผลไม้มา ก่อนจะถามเสิ่นเหลียง “เสิ่นเสี่ยวเหลียง คุณจะทานผลไม้ไหม?”
“ไม่ ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ดี ไม่ต้องมาพูดอะไรกับฉัน แค่เห็นผู้ชายแบบพวกคุณฉันก็รู้สึกรำคาญ” เสิ่นเหลียงจงใจพูดเสียงดัง
ตอนแรกเธอก็มาที่นี่เพื่อทานอาหารกับทีมงานในกองถ่าย แต่สุดท้ายเธอก็เห็นกู้จือหยั่นและเฉินถิงเซียว รวมถึงคนอื่นๆ
จากนั้นเธอก็โทรหากู้จือหยั่น
เวลากู้จือหยั่นอยู่ต่อหน้าเสิ่นเหลียง เขาก็แทบจะควักหัวใจของเขาออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ รวมถึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้เสิ่นเหลียงฟัง
เขาบอกกับเธออย่างหมดเปลือก ว่าเป็นพี่สาวของเฉินถิงเซียว เฉินจิ่งหยุ้นที่แนะนำผู้หญิงคนนี้ให้เขารู้จัก ทุกคนก็เลยเข้ามาเพื่อพูดคุยกัน
เมื่อเสิ่นเหลียงได้ยินว่าเฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนแนะนำผู้หญิงคนนั้นให้รู้จักกับเฉินถิงเซียว เธอจึงเดินตามเข้ามา แต่เธอคิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอจึงโทรหามู่น่อนน่อนทันที
คำพูดของเธอไม่สามารถดึงดูดความสนใจของเฉินถิงเซียวได้เลย
เฉินถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอ เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า “มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงาน ผมขอตัวกลับก่อนนะ”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดเสียงดัง "ดึกขนาดนี้แล้ว ซูเหมียนเป็นผู้หญิงกลับบ้านคนเดียวคงจะไม่ปลอดภัย นายไปส่งเธอกลับสิ"
“สือเย่ ไปส่งคุณหนูซูกลับด้วย” หลังจากที่เฉินถิงเซียวพูดจบ เขาก็ออกไปโดยไม่มองใครเลย
ในที่สุดเฉินจิ่งหยุ้นก็ทนไม่ไหว เธอตะโกนชื่อเขาอย่างโกรธเคือง “เฉินถิงเซียว!”
เฉินถิงเซียวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินและเดินออกไป
“นี่มันมากเกินไปแล้วนะ!” เฉินจิ่งหยุ้นโกรธมาก จนเธอต้องหายใจถี่ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าอารมณ์ของเธอในขณะนี้ไม่สงบเลย
ในทางกลับกันซูเหมียนที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ กลับดูสงบกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ซูเหมียนเทน้ำให้เธอ เธอมีสีหน้าที่ดูมั่นคงมาก “น้องชายของเธอก็เหมือนเธอ เขามีบุคลิกที่ดี แต่อารมณ์ของเขาร้ายกว่าเธอเล็กน้อย ฉันชอบมากมันท้าทายดี"
เมื่อเฉินจิ่งหยุ้นได้ยินที่เธอพูด สีหน้าของเธอก็ดูดีขึ้นเล็กน้อย "เขาก็อารมณ์ร้ายแบบนี้นี่แหละ ถ้ารู้จักกันไปเรื่อยๆ มันก็จะดีขึ้น"
เมื่อซูเหมียนได้ยิน เธอก็ยิ้มและพยักหน้า “อืม”
เสิ่นเหลียงที่อยู่ด้านข้างเธอได้ยินบทสนทนาระหว่างหญิงสาวทั้งสองคน มันทำให้เธอต้องกลอกตา
เสิ่นเหลียงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย และพูดอย่างเกียจคร้านว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องมีโอกาสได้รู้จักสิ ดูเหมือนว่าคุณเฉินจะไม่สนใจคุณหนูซูเลยนะ”
ซูเหมียนหันศีรษะและเหลือบมองไปที่เธอ แต่ก็ไม่พูดอะไร
เฉินจิ่งหยุ้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของซูเหมียน คงอาจจะบอกสถานะของเสิ่นเหลียงให้เธอฟังนั่นเอง
เมื่อซูเหมียนได้ยิน เธอก็แค่ยิ้มให้เสิ่นเหลียง และรอยยิ้มนั้นก็ดูเหยียดหยามมาก
เสิ่นเหลียงกำลังจะต่อว่าพวกเธอ แต่กู้จือหยั่นก็ยืนขึ้น เขาหันไปทางเฉินจิ่งหยุ้นด้วยท่าทางที่ดูเย็นชา "คุณเฉิน ตอนที่คุณกลับไปรบกวนจ่ายเงินด้วย แม้ว่าผมจะสนิทกับถิงเซียว แต่ต่อให้จะเป็นพี่น้องกันได้แท้ๆ ก็ควรจะเคลียร์บัญชีให้ชัดเจน”
เฉินจิ่งหยุ้นเกิดมาร่ำรวย ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนก็มักจะมีคนตามใจเธอ เธอไม่คิดเลยว่ากู้จือหยั่นจะไม่ไหวหน้าเธอขนาดนี้ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงกัดฟันและพูดว่า "ฉันรู้"
กู้จือหยั่นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะดึงตัวเสิ่นเหลียงให้เดินออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...