ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 260

ตอนที่ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานกลับบ้าน เหอเย่วก็กำลังยุ่งกับการทำงานในบ้านแล้ว วันนี้พวกเขาออกไปกันตั้งแต่เช้าตรู่ มีหลายเรื่องที่นางต้องทำอยู่เสมอ ๆ ในวันปกติที่วันนี้ไม่ได้ทำ

เฉินจูชิงกำลังนั่งมองนางพลางยิ้มอย่างโง่งมอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นว่าลู่ม่านกลับมาแล้ว เหอเยว่ก็รีบผลักไสเฉินจูชิงทันที "เจ้ายังไม่รีบกลับไปอีกรึ?"

เฉินจูชิงเกาหัวตัวเองด้วยท่าทางประดักประเดิด "ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะ"

ลู่ม่านส่งยิ้มอย่างคลุมเครือให้ทั้งสองคน ปิดตาแล้วพูดว่า “ข้าไม่เห็นอะไรเลยสักนิด” จากนั้นก็ลากเฉินจื่ออานเข้าห้องไป

ที่แท้ หลังจากที่เฉินจื่ออานไล่ตามพวกเขาออกไปเมื่อเช้านี้ ถึงได้รู้ว่าความเข้าใจผิดระหว่างเหอเย่วกับเฉินจูชิงเกิดจากเฉินหลิ่วเอ๋ออย่างที่คิดจริง ๆ ส่วนบุคคลที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือตาแก่เฉิน

เหตุผลก็คือตาแก่เฉินกับเฉินจูชิงถูกชะตากันมาก เฉินจูชิงก็เคารพนับถือตาแก่เฉินไม่น้อย มองว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของตัวเองคนหนึ่ง

บ่อยครั้ง ที่เขาก็ไปช่วยตาแก่เฉินทำธุระให้หลายอย่าง

เมื่อเหอเย่วเห็นแบบนี้กับตาบ่อย ๆ เข้า ก็คิดไปว่าเฉินจูชิงยังไม่อาจปล่อยวางเฉินหลิ่วเอ๋อไปจากใจได้ เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้ ตอนที่พวกลู่ม่านไม่อยู่ เฉินจูชิงก็ไปช่วยตาแก่เฉินทำธุระอีกแล้ว พอเหอเย่วผ่านไปกลับเห็นว่าเฉินหลิ่วเอ๋อก็อยู่ด้วย ในใจจึงรู้สึกเจ็บแปลบจากความผิดหวัง

ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังพอจะหลอกตัวเองได้ ว่าถึงแม้ในใจของเฉินจูชิงจะยังมีเฉินหลิ่วเอ๋ออยู่ แต่เฉินหลิ่วเอ๋อไม่ชอบเขา ท้ายที่สุดมันต้องมีสักวันหนึ่งที่เขาจะยอมแพ้

แต่ว่าตอนนี้ นางไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้หลอกตัวเองอีกแล้ว

ด้วยเหตุนี้ นางจึงเลือกจะไปจากที่นี่พร้อมปู่

แต่ใครจะรู้ว่า นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิดทั้งนั้น เฉินหลิ่วเอ๋ออยู่ที่นั่นด้วย เป็นเพราะเหตุผลของตาแก่เฉิน ดังนั้นวันนี้ยามเช้าตรู่ เฉินจูชิงจึงรีบไปลากตัวตาแก่เฉินไล่ตามนางไปอย่างที่ทุกคนเห็น

หลังจากอธิบายกับเหอเย่วอย่างชัดเจนดีแล้ว เหอซานก็เห็นด้วยว่าสมควรให้เฉินจูชิงกับเหอเย่วได้อยู่ร่วมกัน จึงใช้หลักการ "ผดุงไว้ซึ่งความชอบธรรมอันยิ่งใหญ่ จึงลงโทษได้แม้กระทั่งญาติมิตร" ด้วยการไล่เหอเย่วลงจากรถม้าไปทันที

แต่ลู่ม่านกลับนึกถึงเรื่องที่ว่า เมื่อช่วงเย็น ๆ เฉินหลิ่วเอ๋อก็มาปรากฏตัวที่ปากทางเข้าหมู่บ้านด้วยขึ้นมาได้ หรือบางที มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญจริง ๆ น่ะรึ?

ลู่ม่านขมวดคิ้วมุ่น ในใจมีความคิดที่จะพูดเรื่องนี้ออกมา แต่พอคิดดูดี ๆ แต่ไหนแต่ไรมานิสัยของเฉินหลิ่วเอ๋อก็แข็งกร้าวดื้อรั้นมาโดยตลอด ถ้านางชอบเฉินจูชิงจริง ๆ ก็ไม่ควรแสดงท่าทางแบบนั้นหรอกมั้ง?

ลู่ม่านตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ไม่ได้พูดถึงมันอีก

เมื่อพวกนางกลับมาครั้งนี้ เดิมทีลู่ม่านมีความคิดจะใช้เงินที่มีในมือ เร่งทำเงินเพิ่มอีกสักก้อนให้ได้เร็ว ๆ ขึ้นสักหน่อย

ถ้าอยากได้เงินเร็ว ก็ต้องหาจากบรรดาฮูหยินผู้ร่ำรวยเหล่านั้นก่อน ลู่ม่านเตรียมจะพัฒนาจากกลุ่มสินค้าระดับสูง คิดไปคิดมา ก็ตัดสินใจว่าจะทำร้านบูติกที่เน้นขายสินค้าแพงหน่อย

พูดได้ว่าเมื่อลองเทียบกันดี ๆ แล้ว ร้านบูติกมีการลงทุนที่สูงกว่าพวกทองหรือเงิน สาเหตุหลัก ๆ คือมาจากความวิจิตรตระการตาของตัวสินค้า ดังนั้นผู้คนจึงเรียกกันว่าร้านบูติก

ยิ่งไปกว่านั้น ลู่ม่านคิดว่าถ้ายึดตามวิสัยทัศน์ของตัวเอง ซึ่งได้พบได้เห็นสินค้าของโลกอนาคตจากนี้ไปตั้งหลายพันปี อย่างไรก็สามารถทำสินค้าที่แตกต่างออกมาได้อย่างแน่นอน

หลังจากคิดแบบนี้แล้ว ลู่ม่านก็เริ่มเตรียมการ ตัวอาคารยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ส่วนใหญ่เป็นวัตถุดิบและอุปทานต่อสินค้านั้น ๆ มากกว่า

อันดับแรกที่ลู่ม่านนึกถึงเป็นพวกตุ๊กตา ของเล่นยัดนุ่นของเหล่านี้เป็นที่นิยมในหมู่เด็กผู้หญิง รวมถึงเด็ก ๆ หลายพันคนในยุคปัจจุบัน อีกทั้งเวลาทำออกมาก็ไม่ค่อยถูกจำกัดมากมายอะไรนัก

วัสดุที่บุข้างในสามารถใช้เป็นก้อนสำลีนุ่ม ๆ ได้ ส่วนด้านนอกใช้พวกผ้าฝ้ายก็ได้แล้ว

แต่ว่าแบบนี้ต้นทุนที่ใช้ย่อมต้องสูงกว่าในโลกอนาคตอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างไร เดิมทีก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้ที่กลุ่มคนรวยไม่ใช่หรือ?

เด็ก ๆ ในครอบครัวยากจนที่อยู่ในยุคนี้ อายุแค่ไม่กี่ขวบต่างก็ต้องเริ่มทำงานกันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีของเล่นหรือพวกตุ๊กตา! รวมถึงพวกผ้าพันคอผ้าไหมพรม แนวคิดเรื่องการป้องกันแสงแดดอะไรทำนองนั้น

ยึดตามความเข้าใจของลู่ม่าน ในช่วงหลายวันที่อยู่ในเมืองหย่งอาน ในวันปกติบรรดาคุณหนูตระกูลใหญ่ในเมืองหย่งอานจะไม่ออกไปไหนในช่วงที่แดดแรง ๆ เพราะกลัวว่าผิวจะโดนแดดจนคล้ำเสีย ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า พวกเขามีแนวคิดเรื่องการป้องกันแสงแดดอยู่ก่อนแล้ว

“นี่ล้วนเป็นเล่ห์เหลี่ยมของพวกเจ้าน่ะสิ.…”

“กลับ!” ลู่ม่านทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว ร้านที่ไม่กล้ายอมรับความผิดพลาดของตัวเองแบบนี้ ต่อให้ทำได้ดีสักแค่ไหน ก็ไม่มีความจำเป็นต้องร่วมมือกัน เพราะถ้าวันหน้าได้ร่วมมือกันแล้ว เกิดวันใดวันหนึ่งพวกเขาทำอะไรผิดพลาดขึ้นมา แต่กลับกล่าวโทษว่าทางลู่ม่านเป็นฝ่ายผิดจะทำอย่างไรล่ะ?

เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านได้เห็นลู่ม่านที่พูดขึ้นมา ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “ฮูหยินท่านนี้คือ?”

“นี่คือฮูหยินของบ้านข้า แม่นางลู่แห่งหมู่บ้านไป่ฮัว” เหอเย่วพูด

เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเปลี่ยนสีหน้าทันที "ที่แท้ก็คือแม่นางลู่นี่เอง ทางเราต้อนรับไม่ดี หากมีธุระอะไรพวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถิดขอรับ"

“ไม่ต้องแล้วล่ะ!” ลู่ม่านพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าได้เห็นคุณภาพของร้านเจ้าชัดเจนแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”

“แม่นางลู่!” ผู้ดูแลร้านที่ยืนชมดูละครอยู่ที่โต๊ะคิดเงินมาตลอดเห็นดังนั้น ก็รีบเดินออกมาทันที “เสี่ยวเอ้อร์ของเราไม่รู้ความ ข้าจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้เลย.…”

ลู่ม่านหันไปมองผู้ดูแลร้านคนนั้นอย่างเย็นชา ตั้งแต่แรก ตอนที่เหอเย่วเริ่มทะเลาะกับเสี่ยวเอ้อร์ในร้าน นางก็เห็นแล้วว่าเขาก็ดูอยู่ตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะของนางถูกเปิดเผยล่ะก็ เป็นไปได้ว่าเขาคงจะยังชมดูละครอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกต่อไปสินะ?

นี่แสดงให้เห็นว่า ในร้านของพวกเขามีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เห็นคุณสมบัติของคนในร้านได้ชัดเจนทีเดียว

“เรื่องในร้านของท่าน ถือเป็นปัญหาของร้านท่าน ข้าเป็นแค่ลูกค้าคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว”

พูดจบ ลู่ม่านก็พาเหอเย่วออกไปจริง ๆ เหอเย่วโยนชุดที่มีตำหนิชุดนั้นไปให้เสี่ยวเอ้อร์ในร้านโดยตรง แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ต้องการให้ข้าชดใช้ก่อนหรือไม่ล่ะ?”

เสี่ยวเอ้อร์ในร้านรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ ไม่ต้องขอรับ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน