ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน นิยาย บท 492

หรูเฟิงไปครั้งนี้ กินเวลาไปสิบกว่าวันแล้ว

ในช่วงสิบวันมานี้ ลู่ม่านกับเฉินจื่ออานยังคงนำฝูงชนไปขนย้ายก้อนหินที่เชิงเขาทีละเล็กทีละน้อย

แต่แล้วความกระตือรือร้นอันสูงลิ่วของทุกคนในช่วงแรก ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนล้าหมดเรี่ยวแรงลงไปในที่สุด งานขนย้ายก้อนหินเพื่อเปิดเส้นทางบนภูเขา ไม่เหมือนงานแบบเกษตรกรรมทำไร่ทำนาธรรมดาทั่วไป ที่กินแค่มันฝรั่งนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วจะทำงานต่อไปได้แบบนั้น

ตอนเที่ยง ก็มีคนที่เป็นลมล้มไปอีกคนแล้ว สาเหตุเป็นเพราะขาดสารอาหาร ลู่ม่านรีบขอให้ทุกคนย้ายตัวเขาลงมา ช่วยกันดูแลปฐมพยาบาลให้ดี

แต่ในใจกลับยิ่งคาดหวังตั้งตารอมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหรูเฟิงเป็นยังไงบ้างแล้ว

ระหว่างที่คิด ๆ อยู่ ไม่ไกลจากตรงนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

เป๋าจ่างพาคนจำนวนหนึ่งเดินมาถึงตรงหน้าลู่ม่าน "ผู้บุกเบิก เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่? นี่ก็คือผลลัพธ์ของการลบหลู่ดูหมิ่นท่านเทพ มีคนล้มป่วยตั้งมากมายขนาดนั้น เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?"

ลู่ม่านขมวดคิ้วมุ่น แต่เป๋าจ่างกลับหันไปอ้าสองแขนออกจนกว้าง แล้วตะโกนไปหาทุกคนว่า “ข้ารู้ว่าทุกคนต่างก็หิวกันแย่แล้ว ที่ศาลบรรพชนเตรียมของกินไว้พร้อมแล้ว ข้าพาหมอมาที่นี่ด้วย ขอแค่ทุกคนหยุดมือในสิ่งที่ทำอยู่ อย่าไปฟังคำพูดเป่าหูของคนคนนี้ แล้วข้าจะเรียกให้หมอมารักษาทุกคนทันที นอกจากนี้ข้ายังรับประกันได้ว่า ปีนี้ทุกคนจะได้กินข้าวจนอิ่มท้องแน่นอน!"

วิธีล่อใจลักษณะนี้ ฟังดูกลับไม่ให้ความรู้สึกที่ดีนัก แต่สำหรับคนที่หมดแรงจนเป็นลมเพราะความหิวโหย รวมถึงคนที่ล้มป่วยจากการทำงานหนักมาเป็นระยะเวลานาน ๆ แล้ว นี่เป็นสิ่งล่อใจที่น่าจะใช้ได้ผลจริงที่สุด

ทุกคนต่างก็หยุดฝีเท้า พลางกลืนน้ำลายกันแบบไม่รู้ตัว

เมื่อเป๋าจ่างเห็นดังนั้น ก็ตะโกนด้วยท่าทางฮึกเหิมเพื่อซื้อใจทุกคนในรวดเดียว “ข้าต่างหากที่เป็นผู้ดูแลประจำตำบลนี้ ทั้งยังเติบโตมากับทุก ๆ คน มีบางคนที่เป็นผู้อาวุโสของข้าด้วย ข้าจะทนเห็นผู้หญิงคนนี้จิกหัวใช้ทุกคนเยี่ยงทาสได้อย่างไรกัน? ขอแค่พวกเจ้าไม่ต้องไปฟังคำพูดของนาง อย่าได้ลบหลู่ดูหมิ่นท่านเทพอีก ข้ารับปากว่าจะช่วยพวกเจ้าอย่างแน่นอน "

อันที่จริงลู่ม่านเองก็รู้สึกอึดอัดขัดใจมากเหมือนกัน นางก็รู้สึกกลัวที่ต้องมาเห็นคนมากมายขนาดนี้ต้องร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าเหลืองซีดเพราะตัวนางเอง ดังนั้น ในเวลานี้สิ่งที่นางคิดในใจก็คือ ถ้ามีใครลุกขึ้นแล้วตามเป๋าจ่างไปจริง ๆ นางก็จะไม่โทษพวกเขาเลย

โดยเฉพาะหลายคนที่ต้องการการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน.....

คาดไม่ถึงว่า ทุกคนที่หยุดชะงักไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน จะก้มหน้าลงเริ่มตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เป๋าจ่างแทบไม่อยากเชื่อสายตา “นี่สรุปว่าพวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดกันหรือไม่? หรือกระทั่งชีวิตตัวเองพวกเจ้าก็ไม่ต้องการแล้ว? ”

คำตอบเดียวที่เขาได้รับ ก็คือเสียงของชาวบ้านที่ก้มหน้าขุดเจาะเคาะหินไม่หยุด!

เป๋าจ่างโกรธแทบตายให้ได้แล้ว "ผู้หญิงอย่างเจ้าช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว นี่เจ้าทำเสน่ห์ใส่พวกเขาสินะ? เจ้าต้องทำเสน่ห์คุณไสยใส่พวกเขาแน่ ๆ!"

ลู่ม่านแค่นหัวเราะเย็นชาขึ้นมาเสียงหนึ่ง “ข้าทำเสน่ห์คุณไสยหรือไม่ เจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจ แต่เจ้าใช้ลูกไม้หลอกล่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาต่างก็เห็นกันอยู่ตำตา เท่าที่ข้ารู้นะ เจ้าเองก็เป็นผู้ดูแลประจำตำบลนี้มาได้ยี่สิบปีแล้วสินะ? ยี่สิบปีก่อนเจ้าก็พูดแบบนี้ ร่ำร้องให้ทุกคนเชื่อมั่นในตัวเจ้า เจ้าอาจทำให้พวกนางกินอิ่มท้องได้ แต่สุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ? พวกผู้ชายต้องมาถูกน้ำท่วมพัดจนจมหายตายจากไปทีละคน ๆ นี่เจ้าทำอะไรอยู่กันแน่? หรือว่าเจ้าแค่หวังจะทำให้ตัวเองร่ำรวย แต่กลับพร้อมจะทำร้ายคนอื่นให้บ้านแตกสาแหรกขาด!"

คำพูดของลู่ม่านกระทบโดนจุดเจ็บปวดของเป๋าจ่างได้พอดิบพอดี เขาโกรธจนลนลาน พูดจากระหืดกระหอบขึ้นมาทันที

“ข้าทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงอย่างเจ้ามาเจ้ากี้เจ้าการ! ถ้าเจ้ายังกล้าใส่ร้ายข้าอีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”

คำพูดของลู่ม่านกระทบใส่จุดเจ็บปวดของเป๋าจ่างได้อย่างพอดิบพอดี เขาโกรธจนลนลานพูดจากระหืดกระหอบขึ้นมาทันที

“ข้าทำอะไร ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงอย่างเจ้ามาสอดปากเจ้ากี้เจ้าการ! ถ้าเจ้ายังกล้าใส่ร้ายข้าอีก ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”

“ข้าก็ไม่คิดจะสอดปากเจ้ากี้เจ้าการให้เสียเวลาชีวิตหรอก!” ลู่ม่านพูดจบ ก็เดินออกไปเข้าร่วมกับกลุ่มชาวบ้านที่กำลังทำงานอยู่ทันที

เป๋าจ่างยืนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจากไปด้วยสีหน้าเย็นชา

ลู่ม่านค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามฝืนระงับความหิวโหยจนไส้แทบขาดนี้ลงไป

เพิ่งจะยืนได้มั่น ท่านป้าที่อยู่ข้างหน้าก็ร่างกายเอนส่ายไปมาอย่างไม่สู้ดีลู่ม่านรีบเข้าไปประคองนางไว้ “ท่านป้า ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไม่เป็นไร ๆ!” ท่านป้ายังพยายามฝืนดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่ทำอย่างไรก็ลุกขึ้นมาไม่ไหวสักที

“ขอโทษนะ ป้าทำให้เจ้าต้องเป็นห่วงเสียแล้ว” ท่านป้าพูด

“ไม่หรอก!” ลู่ม่านจมูกพลันแสบร้อน เดิมที เมื่อตอนที่ต้องเผชิญกับคำพูดกล่าวหา กับถ้อยคำด่ากระทบกระแทกแดกดันของเป๋าจ่าง นางยังสามารถไม่เก็บมาใส่ใจได้ แต่ท่านป้าคนนี้ดีกับนางมากขนาดนั้นแท้ ๆ เดิมทีลู่ม่านคิดว่าตัวเองจะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าทุกอย่างมันจะกลายมาเป็นแบบนี้

สรุปว่านางทำถูกหรือทำผิดกันแน่?

“ดีมาก!” ลู่ม่านหันหน้ากลับไปอย่างมีความสุข พูดกับทุกคนว่า “วันนี้ทุกคนกลับกันเร็วหน่อยนะ คืนนี้พวกเรามาร่วมกินข้าวมื้อใหญ่ด้วยกันสักมื้อ”

“ยังมีอีกนะ!” หรูเฟิงชี้ไปที่รถม้าคันหนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านดูสิเจ้าคะว่าใครมา?”

ลู่ม่านผงะไปครู่หนึ่ง เห็นว่ามีคนผู้หนึ่งยกมือขึ้นแหวกม่านรถม้าออก

“นังหนูตัวดีคนนี้นี่ เรื่องใหญ่ขนาดนี้แท้ ๆ กลับไม่ยอมบอกอะไรข้าสักคำเลยรึ?”

“ท่านอู๋!” ลู่ม่านอุทานด้วยความตื่นเต้นระคนประหลาดใจ “ข้าคิดว่าท่านยังไม่กลับไปที่ตำบลชางผิงเสียอีก!”

“ถ้าข้าไม่กลับตำบลชางผิง แล้วจะให้ข้ากลับไปที่ไหนล่ะ?” ท่านอู๋พูดอย่างเคือง ๆ

“แล้วใครจะไปรู้ล่ะ? ท่านเอาแต่ไล่ตามแม่นางเซวียนเหนียงตลอดเลยไม่ใช่รึ?” ลู่ม่านหยอกล้อด้วยถ้อยคำซุกซนน้อย ๆ ซึ่งแสดงถึงความรู้สึกเบิกบานใจ

พอเอ่ยถึงแม่นางเซวียนเหนียง ลู่ม่านก็พบว่าใบหน้าของท่านอู๋ถึงกับแดงเรื่อขึ้นมาอย่างน่าสงสัย จึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที “ท่านเขินหรือเจ้าคะ?”

ท่านอู๋รีบหันหน้าหนีทันที “นังหนูคนนี้นี่ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ คนไข้ล่ะ? ข้าจะไปดูอาการคนไข้แล้ว!”

รอจนเขาไปแล้ว หรูเฟิงค่อยพูดขึ้นว่า “ฮูหยิน ท่านไม่รู้ล่ะสิ? ท่านอู๋กับแม่นางเซวียนเหนียงแต่งงานกันแล้วเจ้าค่ะ!”

“อะไรนะ?” ลู่ม่านพูดด้วยความประหลาดใจ "เร็วขนาดนี้เชียว!"

“ยังไม่หมดแค่นี้นะเจ้าคะ! เดิมทีแม่นางเซวียนเหนียงก็จะมาด้วย แต่เพราะนางกำลังตั้งครรภ์ เลยทำได้แค่ต้องรั้งอยู่ในตัวตำบลเพื่อบำรุงครรภ์ให้ดีเจ้าค่ะ!”

นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เทียบเท่ากับระเบิดลูกยักษ์มาหล่นลงตรงหน้าเลยทีเดียว  ลู่ม่านถึงกับให้ช็อกจนแยกเหนือ ใต้ ออก ตก ไม่ได้แล้วเรียบร้อย

“นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าท่านอู๋จะลงมือได้รวดเร็วขนาดนี้?” ลู่ม่านถึงกับทอดถอนใจพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง

ที่ด้านหลัง เฉินจื่ออานรีบเอ่ยปรามอย่างจนใจว่า "เสี่ยวม่าน อย่าพูดจาเหลวไหลสิ"

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน