เมื่อจุดไฟกองใหญ่ได้แล้ว ที่เหลือหลังจากนี้ก็คือการคอยเติมไฟทุกวัน คอยมาราดน้ำมันทุกวันเท่านั้นแล้ว
ทุกคนต่างเอาน้ำมันตุงทั้งหมดที่มีในบ้านออกมา ส่วนที่เหลือเป็นลู่ม่านสั่งให้คนเอามาเพิ่ม
ไฟลุกไหม้ติดต่อกันยี่สิบวัน ในระยะเวลายี่สิบวันนี้ ดั่งสวรรค์มีตาไม่มีฝนตกลงมาเลยแม้แต่นิดเดียว ยึดตามแผนของลู่ม่าน อย่างน้อยต้องเผาไปจนกว่าหินก้อนนั้นจะเปราะ ถึงจะนับว่าใช้ได้
ทางที่ดีที่สุดทคือต้องเผาหินตรงกลางนั้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด ไม่อย่างนั้นหินก้อนใหญ่ขนาดนั้น ก็เท่ากับว่าเสียแรงเผาไปเปล่า ๆ
ในวันที่ยี่สิบเอ็ด ตอนเช้าอากาศยังดีอยู่แท้ ๆ เพิ่งกินข้าวเที่ยงเสร็จ กลับมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว
หัวใจของลู่ม่านพลันหดเกร็ง รีบลุกขึ้นออกไปดูทันที
เมฆดำมารวมตัวกันอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา พอเห็นว่าฝนทำท่าจะตกแล้ว ลู่ม่านก็รีบวิ่งตรงไปทางภูเขาเหลี่ยงวั่งทันที
จากระยะไกล ๆ สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวของเปลวไฟที่แผดเผามาตลอดหลายวัน
ฝนห่านี้ดูท่าแล้วคงจะหนักมากแน่ ถ้าเกิดตกลงมาจริง ๆ ที่ลงทุนลงแรงกันไปยี่สิบกว่าวันที่ผ่านมา จะถือว่าสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง!
เฉินจื่ออานวิ่งไล่ตามหลังมาติด ๆ "เสี่ยวม่าน เจ้าจะทำอะไรน่ะ?"
“ข้าจะไปดูหน่อย! ถ้าหินก้อนนี้ถูกฝนดับจนหมด ก่อนหน้านี้ที่เราทุ่มเททำมาก็สูญเปล่าแล้ว!”
“ไปไม่ได้นะ!” เฉินจื่ออานตะโกนห้าม “ไฟกองใหญ่ขนาดนั้น ถ้าเจ้าเข้าไปอาจโดนไฟเผาจนได้รับบาดเจ็บได้ง่าย ๆ เลยนะ”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไม่เข้าใกล้หรอก ข้าจะไปยืนดูอยู่ห่าง ๆ ” ลู่ม่านยืนหยัดหนักแน่น
“แบบนั้นก็ไม่ได้!” เฉินจื่ออานคว้าตัวลู่ม่านไว้ “เจ้าอยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวข้าไปดูเอง”
เฉินจื่ออานพูดจบ ก็ไม่รอให้ลู่ม่านเอ่ยทักท้วงใด ๆ วิ่งออกไปทันที ลู่ม่านยืนตะลึงอึ้งค้างอยู่กับที่ไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไล่ตามไป
เพิ่งจะไปถึงแต่ยังไม่ทันได้เข้าไป ก็เห็นว่าคนทั้งหมู่บ้านมากันหมดแล้ว
ทุกคนต่างพกของติดตัวมาด้วย มีบางคนพกร่ม บางคนก็พกที่นอนหนา ๆ มา ราวกับพร้อมจะสู้กับไฟกองนี้จนถึงที่สุด
เมื่อเห็นลู่ม่าน พวกเขาต่างก็พากันตะโกนขึ้นว่า “ผู้บุกเบิก พวกเรามาแล้ว พวกเราจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง!”
“ได้!” ลู่ม่านรู้สึกขอบคุณจากใจจริง “ได้เห็นท่าทีของทุกคน ข้าก็พอใจมากแล้ว ต่อให้วันนี้พวกเราจะทำไม่สำเร็จ แต่พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้น เพราะทุกคนต่างร่วมมือกัน ในอนาคตพวกเราจะต้องย้ายหินก้อนนี้ออกไปได้อย่างแน่นอน”
เพิ่งจะพูดจบ ก็มีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับสายฝนที่เทลงมาอย่างหนัก ทุกคนรีบลุกขึ้น เตรียมพร้อมใช้ร่างกายของตัวเองบังฝน
จู่ ๆ ไม่รู้ว่ามีใครร้องตะโกนขึ้นว่า "ทุกคนฟังเร็ว มีเสียงอะไรด้วย!"
ทุกคนต่างมองไปข้างหน้า เห็นเพียงหินก้อนใหญ่ยักษ์มีรอยปริร้าวขึ้นมาสายหนึ่ง น้ำฝนที่สาดลงบนหินที่ร้อนจัดเกิดเป็นเสียงดังฉ่า ๆ เมื่อสองอุณหภูมิที่แตกต่างกันบนก้อนหินถูกกระตุ้น ชั้นหินด้านนอกส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งก็เริ่มปริแตกออกจากกันอย่างช้าๆ
“สำเร็จแล้ว!” ฝูงชนยืนนิ่ง ก่อนจะตะโกนโห่ร้องออกมาอย่างยินดี
“จื่ออาน พวกเราทำสำเร็จแล้ว!” ลู่ม่านก็ร้องตะโกนด้วย
“ใช่ ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จแล้ว!” เฉินจื่ออานก็ตื่นเต้นจนระงับไม่อยู่เช่นกัน ทุกคนต่างทุ่มเทกายใจทำคนละไม้คนละมือไม่หยุด ในที่สุดก็ถึงฉากนี้ที่รอคอยสักที
ฝนห่านี้ตกหนักกินเวลาถึงสามสี่วันติดต่อกัน และในที่สุดคืนหนึ่ง ทางฝั่งภูเขาก็ปรากฏเสียงดังสนั่น ทุกคนสะดุ้งตื่นขึ้นจากการนอนหลับ มายืนอยู่หน้าประตู ก็ได้เห็นว่าภูเขาลูกใหญ่พังถล่มลงมาแล้ว
ภูเขาลูกใหญ่ที่ฝังตรึงอยู่ในใจของทุกคนในตำบลนี้มาเป็นเวลาหลายร้อยปีติดต่อกัน สุดท้ายก็ถูกทุกคนผลักจนพังถล่มลงมา
วันรุ่งขึ้น ทุกคนในตำบลตื่นแต่เช้า นำพลั่วกับเสียมติดมือไป เริ่มต้นเก็บกวาดทำความสะอาดเศษซากก้อนหินที่ระเกะระกะพื้น
........................
ที่ศาลาพักม้า ในห้องรับแขก
อ๋องหนิงนั่งฟังรายงานจากเป๋าจ่างอยู่ที่นั่น สีหน้าค่อย ๆ มืดมนลงไปทุกขณะ “คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า นางจะถึงกับทำสำเร็จแล้ว?”
แต่ตอนนี้ เขาถึงกับต้องฆ่าญาติของเขาด้วยน้ำมือของตัวเองแล้ว
แต่มันไม่มีทางเลือกจริง ๆ ลูกสาวคนเล็กของเขายังเด็กมากขนาดนั้น เมียของเขาก็ทนลำบากตรากตรำมากับเขาหลายปีแล้ว ได้แต่อาศัยอยู่ในตำบลนี้ที่ประสบภัยน้ำท่วมทุกปี ยังไม่เคยมีโอกาสใช้ชีวิตที่สุขสบายเลย....
เป๋าจ่างกลั้นใจลงมืออย่างอำมหิต หยิบพลั่วขึ้นมาแล้วผลักไปที่ฐานขาตั้งทรงสามเหลี่ยมที่ใช้รองรับน้ำหนักทั้งหมด!
............
ช่วงบ่ายนั้นเอง ทั้งตำบลก็มีอันต้องแตกตื่นกันหมด เพราะเสียงดังสนั่นที่กึกก้องกัมปนาทชนิดสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
หนูในบ้าน ปลาในแม่น้ำ รวมถึงนกบนต้นไม้ ต่างก็ตกใจแตกกระเจิง การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทั้งหลายเหล่านี้ของฝูงสัตว์ มันแสดงให้เห็นว่ากำลังมีภัยพิบัติใหญ่พุ่งตรงเข้ามา
อ๋องหนิงนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์ ในมือถือถ้วยชาค่อย ๆ จิบไปอย่างแสนจะผ่อนคลาย จู่ ๆ ก็มีผู้ติดตามวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาจากด้านนอก ตะโกนรายงานว่า “ท่านอ๋อง เขื่อนถล่มแล้วขอรับ”
อ๋องหนิงไม่มีปฏิกริยาตอบโต้อะไรมากมาย แค่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “แล้วพวกคนที่ไปเปิดทางบนภูเขาล่ะ?”
“ข้าน้อย.... ข้าน้อยไม่เห็นขอรับ!” ผู้ติดตามพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "บางทีอาจจะถูกน้ำพัดพาไปหมดแล้ว....."
อ๋องหนิงค่อยวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะถอนหายใจด้วยความพึงพอใจ "ชานี้ไม่เลว!"
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วหันไปพูดกับผู้ติดตามข้าง ๆ ว่า "ไปบอกทุกคน กลับเมืองหลวงเดี๋ยวนี้!"
“แต่ว่า ท่านอ๋อง....” ผู้ติดตามคนที่เข้ามารายงานพูดอย่างลังเล “ผู้บุกเบิกกับท่านรองอาจถูกน้ำพัดพาไปด้วย พวกเราไม่ต้องไปออกค้นหากันหรือขอรับ? หากว่าฝ่าบาททรงตำหนิกล่าวโทษลงมา....”
“ก็ได้ งั้นเจ้ารั้งอยู่ที่นี่ค่อย ๆ ค้นหาไปแล้วกัน!” ผู้ติดตามคนที่อยู่ข้าง ๆ อ๋องหนิงพูดขึ้นมา
ผู้ติดตามที่อยู่ด้านล่างคนนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนี้แล้ว ก็รู้ท่าทีของอ๋องหนิงได้โดยพลัน รีบพูดแสดงเจตนาทันทีว่า “ร่างกายของท่านอ๋องหนิงมีค่าประดุจทองคำพันชั่ง ที่นี่ถูกผู้บุกเบิกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งทำจนเขื่อนพังถล่ม คร่าชีวิตของผู้ประสบภัยตายสิ้นทั้งตำบล อ๋องหนิงโหมทำงานหนักจนเลือดตาแทบกระเด็น ไม่ได้นอนเป็นเวลาหลายวันจนหมดสติไป ทำให้พวกข้าน้อยต้องรีบนำตัวส่งกลับเมืองหลวง เพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน!"
“ถือว่าเจ้ารู้จักดูทิศทางลมใช้ได้!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชีวิตบ้านนาของแม่นางลู่ม่าน
เป็นพอ.ที่กลับกรอก เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ยอกจะออกจากครอบครัวเลวๆนี่ไม่จริงอีก ภาระของนางเอก ถ่วงแข้งถ่วงขาจริงๆ...
เด็กไม่ตายเพราะแม่คลอดยากจะตายเพราะคนรับใช้ป้อนโจ๊กข้าวจนอิ่มตื้อ รอดได้คือดวงแข็งเว่อ...
อ่านไป งงไป ตัดสินประหาร หรืออภัยโทษ?...
หม่อมข้า? ใช้ MS Word ไม่ระวังเลย...
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอน 337 แล้ว โดยภาพรวมพระเอกไม่ค่อยมีเสน่ห์ ไม่เฉียบแหลมเลย...
อะไรจะมีปมขนาดนั้น วุ่นวายตอกย้ำเหลือเกินเกี่ยวกับระบบศักดินา ทั้งที่มันเป็นคนละยุคสมัยกัน...
ตอน285-287 หายทำไงดี...
ตอนหายค่ะ 284แล้วกระโดดไป288เลยค่ะ...
บท 285-287 หายค่ะ 284แล้ว288เลย รบกวนด้วยค่ะ...
281-311 รบกวนด้วยค่ะ...