ในที่สุด ถังรั่วเวยก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ว่า “หวังซวี่ หนุ่มคนนั้นเข้าไปสัมภาษณ์จนเกือบจะเที่ยงอยู่แล้วนะ ทำไมยังไม่ออกมาอีก?”
“วางใจเถอะ รั่วเวย ก่อนหน้านี้ผมได้บอกกล่าวกับลุงของผมเอาไว้แล้ว ไอ้หนุ่มนั่นไม่มีทางผ่านการสัมภาษณ์ไปได้หรอก” แม้ว่าหวังซวี่จะอยากรู้อยากเห็นมากเช่นกัน แต่ก็ยังพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มออกไป
เฉินย่าพูดอย่างยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น “ใช่แล้ว รั่วเวย คุณลุงของหวังซวี่เป็นผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลเชียวนะ มีอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายและสรรหาพนักงาน ตราบใดที่เขาไม่พยักหน้า คู่หมั้นคนบ้านนอกของเธอก็อย่าคิดที่จะเข้ามาในบริษัทของเราได้”
หลังจากที่ทั้งสองปลอบแบบนี้ ในใจของถังรั่วเวยที่หงุดหงิดอยู่ก็สงบลงไปเล็กน้อย
ในเวลานี้ เห็นเพียงเจิ้งหงที่เหน็บกระเป๋าหนังอยู่ใต้วงแขน และเดินออกมาอย่างเร่งรีบ
ดวงตาของหวังซวี่เป็นประกายขึ้น แล้วรีบเข้าไปหาเขาทันที “คุณลุง เป็นไงบ้างครับ? คุณลุงไม่ปล่อยให้ไอ้หนุ่มนั่นผ่านการสัมภาษณ์ใช่ไหมครับ?”
“เพี้ยะ!”
ใครจะไปคิดว่าเจิ้งหงไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบเขาไปหนึ่งฉาดเสียแล้ว ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าซีดเซียวว่า “ไอ้โง่ ฉันเกือบโดนแกฆ่าตายอยู่แล้วนะ”
ตบฉาดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หวังซวี่ตกตะลึงเท่านั้น แต่ถังรั่วเวยกับคนอื่น ๆ เองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมเจิ้งหงถึงเอะอะก็ตบหวังซวี่เข้าอย่างไม่ทันตั้งตัว?
หวังซวี่จับหน้าอย่างตกตะลึง “คุณลุง ทำไมตบผมล่ะครับ?”
“ไสหัวออกไป ฉันไม่มีหลานชายแบบแก” เจิ้งหงตะคอก แล้วหันหลังกลับพร้อมใบหน้าที่เศร้าหมอง
“สุดท้ายแล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลายคนต่างก็สับสน
ฉู่เฉินเดินออกมาอย่างยิ้มตาหยี “ทุกคนยังอยู่กันอีกเหรอเนี่ย?”
“เป็นไงบ้าง? ผ่านการสัมภาษณ์หรือเปล่า?” หวังซวี่รีบถามขึ้น
“ขอบคุณความเป็นห่วงของคุณนะ ผ่านการสัมภาษณ์อย่างลุล่วงไปด้วยดีเลยล่ะ” ฉู่เฉินมองเขาด้วยรอยยิ้ม
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังซวี่นั้นแข็งทื่อ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เจ็ดพี่สาวจอมทะลึ่งของผมทั้งสวยทั้งฮอต