บ้านบรรพบุรุษตระกูลซือคง
ซือคงเจี๋ยผู้นำตระกูลคนใหม่คุกเข่าลงตรงหน้าศาลบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลด้วยสีหน้าท่าทางที่มีความเคารพเลื่อมใส
เขารู้ว่าพรุ่งนี้ผ่านไป ที่นี่ก็จะมีป้ายที่เขียนชื่อเพิ่มมาอีกหนึ่งป้ายของพ่อของเขาซือคงซินหรง
เมื่อคืนนี้ซือคงซินหรงบอกความลับของต้นเอล์มกับเขาแล้ว นั่นเป็นความลับที่ไม่ได้เผยแพร่ออกไปของเจ้าของตระกูลในอดีตแห่งตระกูลซือคง ในขณะเดียวกันก็บอกเรื่องสำคัญของตัวเองกับเขาด้วยเช่นกัน
“พ่อครับ ลูกหลานตระกูลซือคงบางทีก็คงจะไม่มีทางรู้ตลอดไปว่าพ่อเสียสละทำทุกอย่างเพื่อตระกูลนี้ ถ้าหากตระกูลข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากตอนนี้ไปได้ พวกเราจะสืบทอดความกรุณาของพ่อเอาไว้” ซือคงเจี๋ยขอบตาแดงก่ำ แอบพูดอยู่ในใจ
เวลานี้ ผู้ชายวัยกลางคนที่อายุประมาณสามสิบห้า สวมใส่ชุดสูทสีดำเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เขาก้มลงกระซิบข้างๆหูเขา
ซือคงเจี๋ยขมวดคิ้วหากันแน่น กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
“เรื่องนี้อย่าเพิ่งให้แพร่ออกไปนะ นายไปหาคนที่เชื่อถือได้มาสองคนตามไปด้วยกันกับฉัน”เขาเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยพูดขึ้นอย่างหนักแน่น
คนที่มาก็คือเจิงยู่ซานผู้ช่วยของเขา หลังจากที่ได้รับคำสั่งแล้วก็พยักหน้าลงแล้วหันกลับออกไป
แม้ว่าซือคงเจี๋ยจะรู้ว่าพ่อเหลือเวลาอีกเพียงสามวัน แม้จะไม่ใช่วันนี้ ก็มีชีวิตอยู่ไม่พ้นพรุ่งนี้ ในใจก็ยังอดที่จะรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ และขอบตาก็อดที่จะแดงขึ้นมาด้วยไม่ได้เช่นกัน
ครั้นแล้วก็ในใจก็รู้สึกท้อแท้ขึ้นมา ถ้าหากแม้แต่พลังของญาณเทพไม่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของตระกูลซือคงได้ แล้วฉันซือคงเจี๋ยจะมีความสามารถอะไรอีก หรือตระกูลซือคงจะถูกกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องมาพังลงในสมัยของฉันกัน?
ไม่ ไม่ได้ เพียงแค่ญาณเทพยังอยู่ที่ตระกูลซือคง สุดท้ายแล้วก็จะมีวันที่กลับมาเป็นใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่เขาคำนับแผ่นป้ายของบรรพบุรุษแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา
ตระกูลซือคงผงาดมาเป็นร้อยปี อุปสรรคมากน้อยแค่ไหนก็ข้ามผ่านมาได้แล้ว ครั้งนี้ก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน
เซียวชุ่นในฐานะที่เป็นประธานกรรมการจินสีกรุ๊ป ซือคงเจี๋ยยังเป็นสมาชิกกรรมการบริษัท อยากจะหาเบอร์โทรศัพท์ของเขานั้นง่ายมาก แต่โทรไปหลายครั้งแล้วก็ติดต่อไม่ได้ จึงทำได้เพียงต้องโทรหาผู้ช่วยของเขาเท่านั้น
รองหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยนั้นก็พูดจาอ้อมคอมมากเช่นกัน เพียงแค่บอกว่าซือคงซินหรงเกิดเรื่องเล็กน้อยที่สตาร์ไลท์ ไม่ได้บอกเรื่องราวอย่างละเอียดลึกซึ้ง แต่ซือคงเจี๋ยจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากพ่อทำสำเร็จก็คงจะไม่มีสายนี้โทรเข้ามา
ช่วงค่ำ ซือคงเจี๋ยปิดบังที่บ้านพาคนสองคนรีบไปที่สตาร์ไลท์บีโอ
ตึกสำนักงานสตาร์ไลท์บีโอ
หลังจากที่ศพของมังกรสามถูกส่งออกไปแล้ว เซียวชุ่นก็สั่งให้ทุกคนไม่ต้องอยู่ในตึกสำนักงานนี้ ดังนั้นเวลานี้ในตึกสำนักงานที่ว่างเปล่านี้จึงมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น ทั้งตึกจึงดูไร้ชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด เงียบสงัดมากเป็นพิเศษ
เขายืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง ในออฟฟิศที่เงียบสงัด ขมวดคิ้วมองไปยังแสงไฟที่ระยิบระยับยามค่ำคืนที่อยู่ไกลออกไป ในใจรู้สึกกลัดกลุ้ม
ควรจะไปเผชิญหน้านางมังกรสามอย่างไร และจะไปเผชิญหน้ากับเสือน้อยที่เป็นเด็กน้อยอย่างไร
เขาอดที่จะถอนหายใจออกมาแรงๆไม่ได้
“ประธานเซียว คนของตระกูลซือคงมาครับ”
ประมาณสองทุ่ม ที่หน่วยรักษาความปลอดภัยโทรเข้ามา
“ปล่อยให้พวกเขาเข้ามา” เซียวชุ่นตอบกลับ
“ครับ”
หลังจากนั้นประมาณสิบนาที ซือคงเจี๋ยก็พาอีกสองคนมาปรากฏตัวอยู่ที่ประตูออฟฟิศ
“ประธานเซียว ฉันมาพาพ่อกลับไป”
เซียวชุ่นไม่ได้เอ่ยพูดออกมา นับว่าเป็นการอนุญาตโดยปริยาย
เขาพาผู้ติดตามทั้งสองคนเดินมาข้างๆศพของซือคงซินหรง หลังจากที่ใช้ผ้าขาวผืนหนึ่งห่อหุ้มศพขึ้นมาก็เอ่ยพูดขึ้นกับผู้ติดตามทั้งสองคน : “พวกนายรอฉันอยู่ที่รถ ฉันมีเรื่องจะพูดกับประธานเซียว”
........
ตอนที่เซียวชุ่นกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ระหว่างนั้นได้ไปที่หอประกอบพิธีฌาปนกิจมาด้วยรอบหนึ่ง ยืนอยู่ตรงหน้าประตูพักหนึ่ง แต่ในที่สุดก็ไม่มีความกล้าพอที่จะไปเผชิญหน้ากับครอบครัวเหล่านั้น
“บริษัทเกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม? โทรศัพท์ก็ไม่รับ”
เมื่อเข้าประตูบ้านมาแล้ว หลิวหยุนเซียงก็แทบจะรอไม่ไหวเข้ามาถามด้วยจิตใจที่ร้อนรุ่ม เหยาเจี้ยนกั๋วที่นั่งอยู่บนโซฟานั้นก็ส่งสายตามาถามด้วยเช่นกัน ดูแล้วเหยาเสินจะไม่ได้พูดอะไรกับพวกเขา
ความจริงแล้ว หลังจากที่เหยาเสินกับหงส์แดงกลับมาแล้วก็อยู่ในห้องตลอด แม้แต่อาหารเย็นก็ไม่ได้ทาน ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหลิวหยุนเซียงจะถามเธออย่างไรเธอก็ไม่ยอมตอบ ยิ่งเป็นแบบนี้หลิวหยุนเซียงและเหยาเจี้ยนกั๋วก็ยิ่งเป็นกังวล
เซียวชุ่นฝืนยิ้มพลางเอ่ยขึ้นมา : “ไม่เป็นไรครับ อีกไม่นานก็แก้ปัญหาได้แล้ว”
หลังจากนั้นก็ขึ้นไปข้างบน ทิ้งทั้งสองคนเอาไว้ให้มองหน้ากันด้วยแววตาที่จนปัญญา
ดวงตาของเหยาเสินนั้นบวมแดง ใบหน้ามืดมนด้วยความผิดหวังเสียใจพิงอยู่ตรงหัวเตียง เพิ่งจะผ่านเหตุการณ์รอดชีวิตจากภัยอันตรายมา ทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนกับเป็นภาพลวงตาที่เหมือนกับความฝันขึ้นมาทันที
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มาเห็นฉากที่เขย่าขวัญนองเลือดแบบนั้น เป็นครั้งแรกที่ใกล้กับความตายขนาดนั้น เหมือนกับเป็นการผ่านจากฝันร้ายมา ไม่สามารถสงบลงได้อยู่เป็นเวลานาน
หงส์แดงเป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเลือดและไฟ เธอสงบนิ่งกว่าเหยาเสินมาก ใบหน้าของเธอนิ่งมาก นั่งอยู่ตรงขอบเตียงเหมือนกับไม้แกะสลักอย่างไรอย่างนั้น
ได้ยินเสียงฝีเท้าจากทางด้านนอก เดิมทีดวงตาที่ไม่มีชีวิตชีวาก็สว่างขึ้นมาในทันที แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สนใจที่จะใส่กระโดดลงจากเตียงแล้วรีบเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้านี้เป็นเวลาสามปีกว่าเธอไม่เคยรู้สึกรอคอยขนาดนี้มาก่อนเลย
ประตูเปิดออก เซียวชุ่นอยู่ตรงหน้าเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ที่สูงตระหง่านอยู่ตรงนั้น
เธอพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดเขาทันที เหมือนกับจี้ที่เอาตัวเองคล้องคอของเขาเอาไว้ ความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและความหวาดกลัวทั้งหมดหายไปในทันที ความสงบและความเข้มแข็งที่มีทั้งหมดวางลงเอาไว้ข้างๆ
เซียวชุ่นรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แล้วลูบหลังเธอเบาๆพลางเอ่ยขึ้นปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน : “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร มีผมอยู่ทั้งคน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: เขยเลือดร้อน ตะลุยอาณาจักรบู๊
ไม่อัพต่อแล้วเหรอครับ...