ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง นิยาย บท 597

หยุนชางเห็นว่าฮวาอวี้ถงมีท่าทีเศร้าสร้อยก็รู้สึกเห็นใจนางขึ้นมา อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่ทำให้ฮวาอวี้ถงถูกจวนฮวาส่งมาเข้าร่วมการคัดเลือกสตรีเพื่อ​เข้า​วังก็คือลั่วชิงเหยียน ดังนั้น สิ่งที่นางกำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ จวนรุ่ยอ๋องก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย

ฮวาอวี้ถงยิ้มออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้า "แต่ก็ดีเหมือนกัน สมัยก่อนตอนที่ข้าเข้ารับการฝึกอบรมในวังมักจะต้องเจอกับกฎเกณฑ์และธรรมเนียมปฏิบัติมากมาย จะไปไหนมาไหนทำอะไรก็ไม่สะดวก แต่ตอนนี้หาได้มีผู้ใดสนใจข้าไม่ ข้ามีอิสระขึ้นมาก"

หยุนชางไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไรดี นางได้แต่เพียงยิ้มออกมาแล้วชวนคุยว่า "ท่านอ๋องเจ็ดเป็นอย่างไรบ้าง? พระอาการของเขาดีขึ้นบ้างหรือยัง?"

"เห็นพวกบ่าวไพร่พูดกันว่าพระอาการดีขึ้นบ้างแล้ว เมื่อเช้าเขาก็เพิ่งเสด็จเข้าวังไป คงจะไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง" ฮวาอวี้ถงตอบคำถามแบบปัดๆ "จริงสิ หลายวันมานี้ข้าเห็นรุ่ยอ๋องเข้าๆออกๆจวนอ๋องเจ็ดอยู่ 2-3 ครั้ง เหมือนเขากำลังทำการสำรวจเรื่องพระชายารองหลิ่วอยู่ ฮ่องเต้ทรงมอบหมายเรื่องนี้ให้รุ่ยอ๋องเป็นคนจัดการงั้นหรือ?"

เมื่อหยุนชางได้ฟังก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ส่ายหน้า "ข้าเองก็ไม่รู้ นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของรองเจ้ากรมอาญาหรอกหรือ? ท่านอ๋องไม่เคยตรัสเรื่องนี้กับข้ามาก่อนเลย"

"งั้นหรือ?" ฮวาอวี้ถงนิ่งไป แล้วก็ไม่ถามอะไรหลังจากนั้นอีก

ผ่านไปได้สักพัก ก็มีบ่าวไพร่เข้ามารายงานอีก บอกว่าองค์หญิงทั้งสามพร้อมด้วยพระสวามีได้เดินทางมาถึงแล้ว

หยุนชางนึกไปนึกมา แล้วนางก็นึกออกว่าองค์หญิงทั้งสามก็คือองค์หญิงที่พระชนมายุค่อนข้างมาก หยุนชางไม่ค่อยสนิทสนมกับพวกนางเท่าไรนัก นางรู้แต่เพียงข้อมูลบางอย่างที่ได้มาจากสายลับ และเมื่อตอนที่อ๋องเจ็ดเข้าพิธีอภิเษก ก็เคยเจอพวกนางแค่เพียงครั้งเดียว หลังจากครุ่นคิดอยู่ได้สักพัก หยุนชางก็หันมาพูดกับฮวาอวี้ถง "เหล่าองค์หญิงก็เสด็จมาถึงแล้ว ห้องนี้คับแคบเกินไป พวกเราไปนั่งคุยกันที่ลานรับแขกดีกว่า"

ฮวาอวี้ถงยิ่งไม่รู้จักองค์หญิงทั้งสาม นางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย "องค์หญิงทั้งสามอุปนิสัยดีหรือไม่?"

หยุนชางยิ้มแล้วตอบนางไปว่า "ข้าก็ไม่ได้รู้จักพวกนางเท่าใดนัก เคยพบกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นเอง ก็ในวันที่เจ้าอภิเษกอย่างไรล่ะ ข้าแค่เคยทักทายพวกนางเล็กน้อยก็เท่านั้น"

ฮวาอวี้ถงได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน หยุนชางสั่งให้ฉินยีนำผ้ามาคลุมไหล่ให้กับนาง แล้วพูดปลอบใจฮวาอวี้ถงว่า "ไม่เป็นไรนะ ไหนๆเจ้าก็อภิเษกเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องเจ็ดแล้ว คิดเสียว่าเป็นพี่น้องกันก็แล้วกัน แล้วอีกอย่าง หากดูจากพระยศแล้ว พวกนางมีพระยศต่ำกว่าเจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรพวกนางก็มีศักดิ์เป็นพี่สาวของอ๋องเจ็ด เมื่อเจ้าได้ไปเจอพวกนางก็ทำการคารวะตามธรรมเนียม เชื่อว่าองค์หญิงทั้งสามคงจะดีพระทัยเป็นแน่"

ฮวาอวี้ถงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน นางมองไปที่ผ้าคลุมไหล่ของหยุนชางแล้วรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย "ผ้าคลุมไหล่ของเจ้าทำมาจากขนจิ้งจอกใช่หรือไม่?"

หยุนชางมองไปยังผ้าคลุมไหล่ที่ฉินยีนำมาคลุมให้กับตน นางยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า "ใช่ เป็นขนจากจิ้งจอกที่ท่านอ๋องทรงออกล่ามาด้วยตนเอง ได้มาตั้งแต่ตอนที่ข้ายังคงอยู่ที่แคว้นหนิง"

ฉินยียิ้มแล้วพูดต่อไปว่า "ในตอนนั้นพระชายายังไม่ใช่พระชายาเลยเพคะ"

เมื่อฮวาอวี้ถงได้ฟัง นัยน์ตาของนางก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดี "พระชายารุ่ยอ๋องกับรุ่ยอ๋องต่างก็รักใคร่กลมเกลียว ใครต่อใครคงพากันอิจฉา"

หยุนชางกุมมือฮวาอวี้ถง "อวี้ถงเองก็เป็นหญิงงามที่จิตใจดี เจ้าอยู่กับอ๋องเจ็ดไปนานๆ ความใกล้ชิดนี้จะต้องทำให้อ๋องเจ็ดหลงรักเจ้าขึ้นมาได้แน่"

องค์หญิงรองมีอุปนิสัยร่าเริงช่างพูดช่างจา เมื่อได้ยินหยุนชางสั่งบ่าวเช่นนั้นแล้วก็สังเกตเครื่องนุ่งห่มของหยุนชางแล้วพูดขึ้นมาว่า "ผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกของพี่สะใภ้ช่างเป็นของหายากจริงๆ"

วันนี้หยุนชางได้ยินคนพูดถึงผ้าคลุมไหล่ขนจิ้งจอกนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว นางยิ้มแล้วลูบไปที่ขนจิ้งจอกสีขาวนวล "เป็นขนจากจิ้งจอกที่รุ่ยอ๋องทรงล่ามาได้เมื่อตอนที่อยู่แคว้นหนิง"

เมื่อเหล่าองค์หญิงได้ฟังก็นิ่งไปสักพัก องค์หญิงสี่จึงชวนคุยเรื่องอื่น "รุ่ยอ๋องดูเป็นคนนิ่งๆ พวกเราไม่ค่อยกล้าสนทนากับเขา แต่ตอนอยู่ที่จวนอ๋องเจ็ด รุ่ยอ๋องกับพี่สะใภ้ดูพูดจากระหนุงกระหนิง พวกเรายังพูดกันอยู่เลยว่า รุ่ยอ๋องนั้นรักและใส่ใจพี่สะใภ้เป็นอย่างดี"

หยุนชางเมื่อได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ "นั่นเป็นเพราะพวกท่านยังไม่สนิทสนมกับเขา เขาเพียงแค่เคยชินกับการวางสีหน้าแน่นิ่ง สมัยอยู่ที่แคว้นหนิง เขาต้องเป็นผู้นำทหารมาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ ตั้งแต่เขาอายุ 17-18 เห็นจะได้ ด้วยความที่เป็นวัยหนุ่มหากจะให้มัวแต่ยิ้มแย้มเบิกบาน เกรงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีความยำเกรง ท่านอ๋องทรงเคยชินกับสีหน้าเช่นนั้น ก็เพื่อจะให้ตนเองดูน่าเกรงขาม หากพวกท่านพอมีเวลา ก็เชิญมานั่งเล่นพูดคุยที่จวนรุ่ยอ๋อง มาลองทำความรู้จักกับท่านอ๋องดู ก็จะได้เห็นเขาในอีกภาพลักษณ์หนึ่ง"

เมื่อทุกคนได้ฟังก็นั่งนิ่งไปสักพัก ไม่นานก็ยิ้มออกมา "ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง พวกเราเห็นสีหน้านิ่งๆของรุ่ยอ๋องแล้ว ไม่กล้าเข้าไปสนทนากับเขาเลยจริงๆ"

เมื่อหยุนชางพูดเช่นนี้แล้ว บรรยากาศก็เริ่มเป็นกันเองมากขึ้นเรื่อยๆ หยุนชางแม้จะไม่ค่อยได้ออกมาสมาคมกับผู้คนในงานเลี้ยง แต่ก็ใช่ว่านางจะพูดคุยในวงสนทนาไม่เก่ง สักพักหนึ่งก็พูดคุยกันไปถึงเรื่องเครื่องแต่งกาย เหล่าสวามีขององค์หญิงเห็นดังนั้นแล้ว จึงจับกลุ่มสนทนากันแต่เพียงฝ่ายชาย

คุยไปคุยมา หยุนชางเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้ว นางคิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดตามมาอีก จึงสั่งให้ฉินยีเตรียมตัวเริ่มงานเลี้ยง

เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้วก็เดินเล่นและนั่งเล่นพูดคุยกันต่อสักพัก หลังจากนั้นผู้ร่วมงานก็กล่าวคำอำลา หยุนชางสั่งให้คนไปนำของกำนัลปีใหม่ที่ชิวมามาเตรียมไว้มาให้ นางมอบของให้กับแขกด้วยตนเอง แล้วสั่งให้พ่อบ้านส่งแขกไปยังนอกจวน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง