หยุนชางเก็บรอยยิ้ม แววตาฉายแววสงสาร จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ "เกรงว่าที่ข้าได้คาดเดาก่อนหน้านี้จะกลายเป็นเรื่องจริง เรื่องลูกพี่ลูกน้องของนางในคราวที่แล้ว ข้าก็รู้สึกได้ว่านางมีอะไรปิดบังข้าอยู่ คราวนี้กลับสามารถยืนยันความคิดของข้าได้ เกรงว่านางจะหลงรักท่านอ๋องเจ็ดเข้าให้แล้วจึงได้ถูกเขาหลอกใช้"
"พระชายาคิดว่าท่านอ๋องเจ็ดหลอกใช้พระชายาของตนเองเข้าเกี่ยวดองกับเสิ่นซู่เฟยหรือเพคะ?" ฉินยีเดินมาที่ข้างโต๊ะและเปิดโป๊ะโคมแปดเหลี่ยมที่วางอยู่บนโต๊ะออกแล้วจึงเผากระดาษนั้นทิ้ง เมื่อเฝ้ามองจนมันกลายเป็นเศษขี้เถ้าแล้ววางโป๊ะกลับลงไปที่เดิม
หยุนชางพยักหน้าเบา "เป็นไปได้อย่างมาก"
เมื่อหยุนชางพูดจบก็นิ่งเงียบไปอยู่นาน นางวางหวีให้มือลงแล้วยืนขึ้น สองตาจ้องมองภาพหญิงสาวที่อยู่บนโคมไฟรูปแปดเหลี่ยมแล้วจึงเอ่ยว่า "ไม่รู้ว่าเหตุใด เมื่อครู่ในสมองของข้าพลันคิดว่าก่อนหน้านี้ที่หลินโยวหรานยังไม่เกิดเรื่อง ข้าเข้าวังมาพูดกับนางถึงเรื่องที่นางกำนัลหายตัวไป หลินโยวหรานบอกข้าว่าแม้เสิ่นซู่เฟยจะดูแลวังหลัง แต่กลับไม่ได้ใส่ใจจัดการเรื่องราวมากนัก"
ฉินยีไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ หยุนชางจึงได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้น แต่นางก็พยักหน้ารับ "หม่อมฉันจำได้ว่าฮุ่ยจาวอี๋เคยกล่าวเช่นนี้ เพียงแต่..."
"เพียงแต่แม้ว่าเสิ่นซู่เฟยจะเป็นสายลับ แต่ที่ข้าเข้าใจนั้น นางมีใจคิดเลยเถิดในเรื่องของอำนาจ แม้ว่าตอนนี้ตราลัญจกรของฮองเฮาจะอยู่ในมือของนางอย่างชอบธรรม เหตุใดนางจึงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยเล่า?" หยุนชางกล่าวตอบ นางขมวดคิ้วแล้วจึงเอ่ยต่อ "ก่อนหน้านี้ข้าเคยคิดว่าเป็นเพราะนางคำนึงถึงสถานะสายลับของตนเอง แต่วันนั้นตอนที่นางจัดการเรื่องที่หลินโยวหรานคลอดยาก ข้าก็ได้ค้นพบว่าไม่ได้เป็นเพราะเหตุนี้"
หยุนชางหยุดไปนิดหนึ่งราวกับกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง "เมื่อครู่เมื่อได้ยินเรื่องของฮวาอวี้ถง สิ่งแรกที่ข้าคิดกลับเป็นเมื่อท่านอ๋องเจ็ดลงเรือลำเดียวกับเสิ่นซู่เฟยแล้ว เช่นนั้นที่เสิ่นซู่เฟยไม่มีความเคลื่อนไหวมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นความต้องการของท่านอ๋องเจ็ด?"
เฉี่ยนจั๋วฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ "เมื่อครู่หม่อมฉันก็รู้สึกแปลกมาโดยตลอด จู่ๆ ในวังก็มีคนเพิ่มขึ้นมามากมายเช่นนั้น เหตุใดเสิ่นซู่เฟยจึงไม่รู้เรื่อง? พวกเราเพียงเข้าวังเป็นครั้งคราวยังสามารถเห็นถึงร่องรอย เสิ่นซู่เฟยเป็นถึงผู้ที่อยู่ในวังมาตลอดเลยนะเพคะ"
หยุนชางเดินวนไปวนมาในห้องอยู่นาน นางเอื้อมมือไปจุ่มลงบนถ้วยชาบนโต๊ะที่นางดื่มแล้ววาดลงบนโต๊ะ ปากก็พึมพำกับตนเองเบาๆ
"พวกเรามาตั้งสมมติฐานกันสักหน่อย สมมติว่าเสิ่นซู่เฟยพบความผิดปกตินั้นตั้งแต่แรกแต่กลับได้วางแผนกับท่านอ๋องเจ็ดไว้แล้ว จงใจไม่สนใจ จากนั้นก็รู้ว่าข้ากับท่านอ๋องกำลังสืบเรื่องนี้อยู่ วันนี้นางกำนัลที่ท้องนั่นก็เป็นการจัดการของนาง รอให้ข้าเป็นผู้ไปค้นพบ..."
ฉินยีและเฉี่ยนจั๋วฟังอยู่ด้านข้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่กล้าขัดความคิดของหยุนชาง
"หากเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็มีจุดน่าสงสัย ประการแรกฮวาอวี้ถงกลายเป็นคนของท่านอ๋องเจ็ดไปแล้ว เช่นนั้นเสิ่นซู่เฟยเป็นสายลับของฝ่าบาท อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังแสร้งร่วมมือกับองค์หญิงใหญ่และองค์ชายเจ็ด สุดท้ายก็ทรยศองค์หญิงใหญ่ องค์ชายเจ็ดไม่มีทางไม่รู้แน่ และในเมื่อรู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงยังกล้าเชื่อใจนางอีก ไม่กลัวว่าเสิ่นซู่เฟยจะทรยศเขาหรือ?" หยุนชางวาดมือเป็นวงกลมลงบนโต๊ะ
"ประการที่สอง เรื่องผลิตอาวุธนั้นถือเป็นความผิดร้ายแรงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร หากเสิ่นซู่เฟยค้นพบมันก่อนหรือว่าได้บอกท่านอ๋องเจ็ดไปแล้ว พวกเขาทั้งสองไม่ว่าใครจะเป็นคนเปิดเผยเรื่องนี้ก็ล้วนจะได้รับความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่ เหตุใดจึงไม่คว้าโอกาสสร้างผลงานนี้ไว้แต่กลับปล่อยมันให้ท่านอ๋องกันเล่า?"
"ประการที่สาม เสิ่นซู่เฟยเป็นคนของฝ่าบาท หากว่ากันตามหลักการแล้ว สิ่งที่นางควรทำก็คือจงรักภักดีต่อฝ่าบาท เพียงภักดีต่อฝ่าบาท ฝ่าบาทย่อมไม่ปฏิบัติไม่ดีต่อนาง ไม่ว่าจะเป็นในฐานะนางสนมหรือว่าในฐานะสายลับ แต่เหตุใดนางจึงไปร่วมมือกับท่านอ๋องเจ็ด? เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่านางอยู่ฝั่งตรงข้ามของฝ่าบาท หากท่านอ๋องเจ็ดพ่ายแพ้ นางย่อมไม่อาจมีจุดจบที่ดีได้ หรือหากแม้ท่านอ๋องเจ็ดเป็นผู้ชนะ นางจะได้อะไรจากเขากัน? อีกอย่างนางอยู่ที่แคว้นเซี่ยมานานขนาดนี้ย่อมต้องรู้จักนิสัยของท่านอ๋องเจ็ดเป็นอย่างดี เสร็จงานฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพลเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา"
หยุนชางวาดวงกลมลงบนโต๊ะสามวงและขมวดคิ้วคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออก นางนั่งลงด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้และไม่พูดอะไรออกมาอยู่นาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง หยุนชางผลักถ้วยชาออกไปเสียเลยและลุกขึ้นยืน "ข้าพักก่อนก็แล้วกัน คำที่ข้าพูดเมื่อครู่และข้อสงสัยสามประการนั้น ฉินยีอีกครู่เจ้าไปหาท่านอ๋องและเล่าให้เขาฟังโดยอย่าให้ขาดตกไปแม้แต่คำเดียว"
ฉินยีรีบรับคำและพยุงหยุนชางขึ้นบนเตียง ช่วยนางห่มผ้าห่ม ปลดผ้าม่านลง เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ฉินยีจึงหันหน้าไปให้สัญญาณกับเฉี่ยนจั๋ว ทั้งสองไปที่หน้าประตู ฉินยีกำชับเฉี่ยนจั๋วสองสามประโยคแล้วจึงรีบไปที่หาลั่วชิงเหยียนที่ตำหนักเซียงจู๋
เฉี่ยนจั๋วหันกลับเข้าไปตำหนักและดับเทียนทั้งหมด เหลือไว้เพียงดวงเดียว แล้วจึงล้มตัวลงงีบบนโต๊ะ
ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ฉินยียังไม่กลับมา เฉี่ยนจั๋วลืมตาขึ้นเหลือบมองดอกชบาบนผ้าม่านพลางคิดว่าเมื่อวานหยุนชางเหนื่อยมาทั้งคืน วันนี้คงจะตื่นสายเล็กน้อย ที่ตำหนักเซียงจู๋นางไม่คุ้นเคยนัก ต้องไปหาคนให้เตรียมอาหารเช้า มิฉะนั้นหากพระชายาตื่นแล้วจะไม่มีเครื่องเสวยมื้อเช้า
เฉี่ยนจั๋วคิดพลางออกจากตำหนักชั้นในไป เพราะตำหนักเซียงจู๋จะไม่ใช่วังและเป็นเพียงตำหนัก แต่ก็มีห้องเครื่องส่วนตัว เฉี่ยนจั๋วถามทางไปยังห้องเครื่องนั้นจากข้ารับใช้และมุ่งตรงไปยังที่นั่น
นางกำนัลผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงถอยออกไป เฉี่ยนจั๋วถือเสื้อผ้านั้นกลับเข้าไปในตำหนักด้านใน หยุนชางยังไม่ตื่น เฉี่ยนจั๋วเพิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ ฉินยีก็เดินเข้ามา
ฉินยีเหลือบมองเตียงที่ยังไม่ได้เลิกผ้าม่านขึ้นก็รู้ได้ว่าหยุนชางยังไม่ตื่นจึงได้ออกไป
เฉี่ยนจั๋วก็ตามออกไปด้านนอกเช่นกัน นางเอ่ยถามเสียงเบาว่า "เหตุใดกูกูจึงไปนานเหลือเกิน?"
ฉินยียิ้มแล้วตอบว่า "มีคนมากมายนัก สายลับในมือท่านอ๋องไม่พอ ข้าจึงช่วยพวกเขาสอบสวนคนเหล่านั้น เมื่อเสร็จแล้วจึงรีบกลับมา" ฉินยีโน้มตัวเข้าไปทางตำหนักแล้วจึงเอ่ยเสียงเบสว่า "เมื่อคืนพระชายานอนหลับดีหรือไม่?"
เฉี่ยนจั๋วพยักหน้า "ดีเจ้าค่ะ"
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ามีนางกำนัลรีบร้อนเข้ามา "พี่ทั้งสอง พระชายาตื่นแล้วหรือยัง? รุ่ยอ๋องมาแล้วตอนนี้อยู่ที่ประตู บอกว่ามารับนางกลับจวนเจ้าค่ะ"
เฉี่ยนจั๋วและฉินยีพยักหน้ารับแล้วจึงกลับเข้าไปในห้อง ฉินยียืนอยู่ข้างเตียง นางเรียกหยุนชางผ่านผ้าม่านกั้น "พระชายา พระชายา ตื่นเถอะเพคะ"
ไม่มีคนขานรับ ฉินยีหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ไหว ความขี้เซาของพระชายาช่างทำให้ผู้อื่นอับจนหนทางเสียจริง เพียงแต่ท่านอ๋องยังรออยู่ด้านนอก จะไม่ปลุกนางให้ตื่นก็ไม่ได้ ฉินยีคิดพลางแหวกม่านออก
เมื่อม่านเปิดออก ทั้งสองคนกลับต้องตกใจ
"พระชายาเล่า?" เฉี่ยนจั๋วมีสีหน้าตกใจ มองไปยังเตียงที่ว่างเปล่าแล้วจึงร้องตะโกนอย่างตกใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฟีนิกซ์นิพพาน-การแก้แค้นของเจ้าหญิง
ทำไมถึงอ่านบทที่ 18 และอื่นๆต่อไปไม่ได้...