สายตาของเขาที่มองมาราวกับจะทะลุร่างกายของฉัน ฉันสั่นสะท้านไปทั้งตัว
เมื่อเห็นว่าฉันไม่ขยับ จู่ๆลู่จือสิงก็ลุกออกจากเตียงของโรงพยาบาลจากนั้นก็เดินเข้ามาหาฉัน เขายกมือขึ้นแตะใบหน้าของฉัน "ซูยุ่น คุณกลัวใช่ไหมว่าคุณยังรัก----"
"เพียะ!"
ฉันโกรธจนตัวสั่นจากนั้นฉันยกมือขึ้นและตบเขา "ลู่จือสิง ผู้ดีเขาต้องรู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง ประเมินตัวเองได้ แต่น่าเสียที่คุณไม่มี!"
กล่าวจบ ฉันก็ไม่ได้สนใจเขาอีกและเดินจากมา
วันนี้หิมะกำลังจะละลาย อย่างที่ว่ากันว่าหิมะตก อากาศไม่หนาวก็ละลาย
ฉันยืนอยู่ข้างนอกโรงพยาบาล ดวงอาทิตย์อยู่เหนือศีรษะฉัน แต่กลับไม่เคยรู้สึกหนาวเหน็บเท่านี้มาก่อน
เวลาผ่านไปสองปีแล้ว แต่ลู่จือสิงยังคงไร้จิตสำนึกผิดชอบชั่วดี!
เขาทำได้อย่างไร! พูดประโยคเหล่านั้นออกมาง่ายๆแบบนั้นได้ยังไง!
ฉันคิดว่าหัวใจของฉันจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป แต่ตอนนี้ หัวใจของฉันกลับถูกลู่จือสิงทำร้ายฉีกหัวใจของฉันออกเป็นชิ้นๆอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงชั่วโมงที่แล้วที่ฉันยังรู้สึกเสียใจกับเขา ฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นโง่จนเกินกว่าจะเยียวยาได้จริงๆ
ฉันไม่อยากจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกแล้ว ฉันเอื้อมมือโบกรถแท็กซี่แล้วกลับบ้าน
รถขับออกมาไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันนึกถึงเรื่องราวของวันนี้เมื่อสองปีก่อนที่อยู่กับลู่จือสิง นึกอย่างไรฉันก็ไม่เข้าใจ มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร
"เอ่อน้อง ถึงแล้ว"
คำพูดของคนขับทำให้ฉันกลับมามีสติอีกครั้ง ฉันรีบจ่ายเงินและลงจากรถ ลมหนาวพัดเข้ามายังใบหน้าของฉันและในทันใดนั้นฉันก็ได้สติ
ฉันกำลังคิดอะไร?
นี่ฉันคิดอะไรอยู่!
ฉันอยากจะตบหน้าของตัวเอง จู่ๆเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
ฉันจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์และพบว่าเป็นสายจากฉีซิ่วหราน
ในช่วงเลานั้นฉันก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ฉันอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลาสองชั่วโมง
"ฉีซิ่วหราน?"
"คุณยังอยู่โรงพยาบาลหรือเปล่า?"
ทางด้านนั้นไม่มีเสียงของเป้ยเปย เป้ยเปยอาจจะหลับไปแล้ว
"ฉันอยู่ด้านล่างแล้ว"
หลังจากสแกนนิ้วมือ ฉันก็เข้าไปด้านในและกดลิฟต์ "ฉันกำลังรอลิฟต์อยู่"
ฉีซิ่วหรานไม่ตอบอะไร เขาตอบรับและวางสายไป
ลิฟต์ลงมาในเวลานี้พอดี ฉันก้าวขาและเดินเข้าไป ทันทีที่ฉันเข้าไปฉันเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในผนังลิฟต์ ใบหน้าซีดขาว ผมกระเซอะกระเซิง
ฉันไม่อยากให้ฉีซิ่วหรานเป็นกังวล ฉันจึงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะเปิดประตูและเข้าไปในบ้าน
"เป้ยเปยหลับแล้วหรือยัง?"
ฉีซิ่วหรานยื่นแก้วน้ำร้อนมาให้ฉัน "หลับแล้ว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"
ฉันส่ายหน้าและทำท่าทางผ่อนคลาย "ไม่เป็นอะไร ฉันจะเป็นอะไรได้อย่างไรกัน"
ฉีซิ่วหรานไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เพียงจ้องมองมาที่ฉัน
ฉันไม่เข้าใจ ทำไมเขาถึงชอบจ้องมองฉันแบบนี้ สายตานี้ทำให้ฉันรู้สึกร้อนตัวราวกับจะไม่สามารถเก็บความลับอะไรได้เลย และท้ายที่สุดฉันก็ทนไม่ไหว
ในไม่ช้า ฉันก็ละสายตา "คืนนี้อยากทานอะไร?"
"หม้อไฟ ง่ายดี"
ฉันพยักหน้าและฉันนั้นไม่ได้มีอารมณ์ที่อยากจะทำอาหาร เดินเข้าห้องครัว พับแขนเสื้อเพื่อที่จะล้างผัก
ฉีซิ่วหรานเดินเข้ามาเพื่อช่วยฉัน แต่ฉันให้เขาออกไปแต่เขากลับนิ่ง "ลู่จือสิงทำให้ลำบากใจเหรอ?"
ในขณะที่เขากำลังล้างผักกาดเขาก็ถามฉัน
ฉันไม่กล้ามองเขาและหยิบซุปไก่ตุ๋นเมื่อวานออกมา "เปล่า"
"เขาดูเหมือนช่วงนี้เขามักจะอยู่เมืองD"
คำพูดของฉีซิ่วหรานทำให้มือของฉันสั่นและเกือบจะคว่ำถ้วยซุปไก่
ฉันไม่รู้ว่าลู่จือสิงต้องการทำอะไรกันแน่ ความไม่แน่ชัดนี้ทำให้ภายในใจของฉันนั้นรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
"ซูยุ่น"
ทันใดนั้นฉีซิ่วหรานได้ยื่นมือออกมาและสัมผัสมือฉัน ฉันตื่นตระหนกและในเวลานั้นก็พบว่าฉันได้ทำน้ำซุปหกออกมาหมดแล้ว
เห็นๆกันอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขานั้นดีมาก ทำไมฉันกลับไม่รู้สึกอะไรเลย?
บางครั้ง ความรักมันก็เป็นเรื่องแย่จริงๆ
ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีเหตุผล
คืนนั้นฉันฝันถึงลู่จือสิง ฉันไม่ได้ฝันถึงเขามานานมากแล้ว ยกเว้นตอนนั้นที่ฉันกลับไปที่เมือง A และมอบสร้อยให้กับเขา
ฉันฝันว่าเขาอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อ แต่เขาคุกเข่าลงต่อหน้าฉันเพื่อขอแต่งงานและบอกฉัน : การขอแต่งงานเป็นสิ่งที่ผู้ชายควรทำ
ดังนั้นเขาก็เลยขอฉัน
"ฉันตกลง----"
เมื่อฉันตื่นขึ้นฉันก็รู้ว่ามันเป็นความฝัน
กล่าวได้อีกอย่างว่าไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน
มันจริงเกินไป แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่ามันเป็นของปลอม ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเป็นการจัดฉากจากลู่จือสิง
เขาพยายามอย่างเต็มที่ในการแสดง จนฉันไม่รู้สึกเลยว่ามันคือการแสดง
เป้ยเปยที่หลับสนิทอยู่ในเปล แสงอันอบอุ่นก็ส่องมาที่ใบหน้าของเป้ยเปย เขาเติบโตขึ้นทุกวัน ฉันรู้ว่าวันหนึ่งลู่จือสิงอาจจะรู้ว่าเป้ยเปยเป็นลูกของเขา
เมื่อฉันนึกถึงเรื่องนี้ ร่างกายของฉันก็แข็งทื่อ
ฉันมองไปที่เป้ยเปยที่กำลังนอนอยู่ในเปลด้วยความกังวลตลอดเวลา
คำพูดของฉีซิ่วหรานทำให้ฉันระมัดระวังตัว ฉันกลัวว่าฉันจะได้พบกับลู่จือสิงโดยบังเอิญอีก เพื่อเลี่ยงการพบเจอกับลู่จือสิง ฉันจึงออกจากบ้านน้อยครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหลีกหนีเขาไม่พ้น
เมื่อวันก่อนฉีซิ่วหรานได้ไปทำงานต่างจังหวัด เขาได้ไปยังเมืองหลินเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาโครงการ ในฐานะผู้รับผิดชอบหลัก เขาจึงต้องไป
แต่ถึงเวลาที่เป้ยเปยจะต้องฉีดวัคซีนแล้ว ฉันจึงต้องพาเป้ยเปยไปฉีดวัคซีนเพียงคนเดียว
เมืองDช่วงปลายเดือนมีนาคมไม่หนาวมากนัก แต่เด็กเล็กยังคงอ่อนแอ ฉันจึงห่อเป้ยเปยกลมจนคล้ายลูกฟุตบอล
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งเดือนแล้วฉันที่พบเจอกับลู่จือสิงในครั้งล่าสุด ครั้งนี้ฉันได้เข้าไปยังโรงพยาบาลอีกครั้ง ภายในใจฉันรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ฉันขึ้นแท็กซี่ออกจากโรงพยาบาล ฉันถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้เจอกับเขา
เป้ยเปยที่เพิ่งได้รับวัคซีน ดวงตากลมโตของเขากำลังจ้องมองผู้คน หัวใจของฉันนั้นอ่อนลงในทันใด
ฉันอุ้มเป้ยเปยลงจากรถ ทันทีที่ฉันเดินไปเพียงสองก้าว ฉันก็ได้ยินเสียงของลู่จือสิงดังมาจากด้านหลัง "ซูยุ่น"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้