เขาปล่อยมือในครั้งนี้ จากนั้นก็เดินตามฉีซิ่วหรานออกไป
ฉันรีบเดินตามไปปิดประตูดัง “ปึง” แล้วเอาตัวพิงบานประตูไว้ นึกถึงคำพูดเมื่อกี้ของลู่จือสิง จากนั้นก็ตัวสั่นด้วยความโมโห
เกินไปแล้ว!
ทำไมเขาถึงพูดคำเช่นนี้ออกมาได้!
คำพูดของลู่จือสิงทำให้ฉันฝันร้ายในคืนนั้น ฉันฝันว่าจู่ๆ ลู่จือสิงก็พูดขึ้นมาว่าเป้ยเปยเป็นลูกชายของเขา เขาจะมาพาเป้ยเปยไป
ฉันขอร้องอย่างไรเขาก็ไม่สนใจฉันเลย ฉันคุกเข่าขอให้เขาอย่าเอาตัวเป้ยเปยไป ผลคือ เขาเหยียบเท้าฉันแล้วอุ้มเป้ยเปยขึ้นเครื่องบินไปกับเฉินฮวนเหยียน
ฉันตกใจตื่นขึ้นมาถึงพบว่ามันคือความฝัน
แต่ความฝันนั่นมันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน อารมณ์ของลู่จือสิงที่แสดงออกมาช่างเหมือนกับตอนที่เขาตัดสินใจว่าฉันเป็นคนทรยศหักหลังบริษัทในปีนั้น
ช่างโหดร้ายและไร้ความปราณี
พอตกใจตื่นเพราะฝันร้ายเช่นนี้ ฉันจึงหันไปดูเป้ยเปยที่อยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว
เป้ยเปยหลับลึกมาก แก้มน้อยเริ่มออกรูปทรงแล้ว แม้เค้าโครงใบหน้าจะไม่เหมือนลู่จือสิง 100% แต่ก็พอมองออกว่าคล้ายลู่จือสิงอยู่ 60% น่าจะได้
พรุ่งนี้เป้ยเปยจะต้องไปฉีดวัคซีน ฉันตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกเลยกลัวว่าตัวเองจะลุกไม่ขึ้น จึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาตั้งนาฬิกาปลุกไว้
เดิมทีฉีซิ่วหรานบอกว่าจะไปเป็นเพื่อนฉัน แต่ฉันรู้ว่าเขาเพิ่งกลับจากไปทำงานนอกสถานที่ จะต้องยุ่งมาก แล้วอากาศตอนนี้ก็กำลังดี จึงดึงดันปฏิเสธเขาไป
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในวันต่อมา เนื่องจากเมื่อคืนฉันนอนไม่ค่อยหลับ ตื่นขึ้นมาจึงรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
เป้ยเปยยังหลับอยู่ หลังจากที่ฉันล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็เปลี่ยนผ้าอ้อมและหยอดอาหารให้เป้ยเปยทานลงไป
เพิ่งแปดโมงกว่าก็ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เนื่องจากเดี๋ยวนี้มีคนจำนวนมากเลือกคลอดลูกคนที่สอง จึงมีคนมารับวัคซีนสำหรับเด็กเกิดใหม่เยอะมาก
ฉันรีบเก็บข้าวของเตรียมออกจากบ้าน แต่ไม่คิดว่าขณะที่กำลังจะออกประตูไปก็เจอเข้ากับลู่จือสิง
ฝันร้ายเมื่อคืนทำให้ฉันยิ่งไม่อยากเจอเขา จึงตัดสินใจเดินผ่านเขาไปโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย
เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตามฉันไป
ในลิฟต์มีเพียงฉันและเขา ฉันเอาแต่ก้มศีรษะไปมองเป้ยเปย ทำทีว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ
เมื่อเดินออกมาจากทางเดิน จู่ๆ ลู่จือสิงก็มาจับมือฉันไว้: “ผมส่งพวกคุณไปโรงพยาบาลนะครับ”
ฉันไม่มองเขาแม้แต่น้อย: “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันเรียกรถไว้แล้ว”
ลู่จือสิงไม่พูดจา จากนั้นไม่นานเขาก็ยกรถเข็นของเป้ยเปยขึ้นมา
ฉันกลัวเป้ยเปยจะบาดเจ็บ แต่ใครจะยอมให้แย่งไปกันล่ะ จึงทำได้แค่ตะโกนร้องด้วยความโมโหว่า: “ลู่จือสิง คุณบ้าไปแล้วเหรอ ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้อง!”
แล้วเขาก็วางเป้ยเปยไว้ที่ด้านหลังจัดตำแหน่งให้ดี จากนั้นก็หันมามองฉัน: “คุณจะขึ้นไม่ขึ้นล่ะ?”
ฉันรู้ว่าตัวเองแย่งไม่ทันเขาแน่ อีกทั้งตอนนี้ก็สายมากแล้ว หากทะเลาะกับเขาต่อไป ไม่รู้ว่าไปถึงโรงพยาบาลจะได้คิวที่เท่าไหร่
ฉันกัดฟันแล้วก็ขึ้นรถไป
เขามองฉันแว๊บหนึ่งแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็วนไปขึ้นรถที่ฝั่งคนขับ
รถวิ่งไปได้สิบนาที ฉันประคองรถเข็นเด็กอ่อนไว้ เม้มริมฝีปากไม่พูดไม่จา
พอไฟแดงรถจึงหยุด จากนั้นลู่จือสิงก็หันมามองฉัน: “คุณไม่อยากรู้หรือว่าเมื่อคืน
ฉีซิ่วหรานคุยอะไรกับผม?”
ตอนที่เขาพูดคำนี้ออกมาสีหน้าเขาดูประชดประชันอยู่หลายส่วนทีเดียว
ฉันเงยหน้าไปมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วตอบว่า: “มีอะไรให้อยากรู้กันคะ”
“เหอะ”
ลู่จือสิงส่งเสียง ฮึ มาคำหนึ่งจากนั้นสีหน้าก็อึมครึมลง ราวกับฉันไปติดหนี้เขาไว้เป็นพันล้านอย่างไรอย่างนั้น
จากนั้นก็ไปถึงโรงพยาบาล ตลอดทางฉันไม่พูดอะไรกับเขาซักคำ
ทุกถ้อยทุกคำที่เขาพูดออกมาล้วนทิ่มแทงเข้ามาที่ใจฉันทั้งหมด
ฉันทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงมองเขาจากนั้นก็ตอบโต้กลับไปว่า: “คุณดูตรงไหนถึงเห็นว่าฉันหวาดกลัวคะ?”
เขายิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างได้ใจว่า: “งั้นคุณก็ตอบคำถามเมื่อกี้ของผมมาก่อน”
ฉันขมวดคิ้ว ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปซักพัก: “คำถามอะไรคะ?”
“คุณสนใจในเรื่องของผมกับเฉินฮวนเหยียนมากอยู่ใช่มั้ยครับ?”
ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน เสียใจจนแทบอยากจะปิดแผลสดด้วยตัวเองอย่างไรอย่างนั้นเลย
คำพูดก็พูดออกไปแล้ว ถ้าฉันยังเงียบอยู่ต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ลู่จือสิงยิ่งได้ใจ
ฉันยิ้มอย่างเย็นชา แสร้งทำตัวเยือกเย็นเข้าไว้: “ประธานลู่คะ คุณอาจจะไม่ชัดเจนในความจริงเรื่องหนึ่งว่า เวลานี้ผ่านไปสองปีแล้ว เราหย่าร้างกันมาสองปีแล้วนะคะ ฉันไม่มีความสนใจใดๆ เกี่ยวกับอดีตสามีที่หย่าร้างกันไปสองปีแล้วหรอกค่ะ”
“คุณไม่มีอารมณ์จะไปสนใจ หรือไม่กล้าที่จะสนใจกันแน่ครับ?”
เขาแสดงท่าทีข่มขู่ มองดูฉันราวกับมองเห็นอะไรบางอย่าง
มือฉันจับรถเข็นเอาไว้แล้วกัดฟันแน่น: “คุณคิดว่าอย่างไรล่ะคะ?”
ซักพักสีหน้าเขาก็ดูเย็นลง ฉันมองกลุ่มคนตรงหน้า เห็นเด็กน้อยกำลังร้องไห้ ตรงหน้าจอตรงนั้นก็ยังมีคนอยู่ราวๆ สิบกว่าคนเห็นจะได้
ฉันไม่คิดว่าจะอยู่กับลู่จือสิงแบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว พอคิดได้แล้วฉันก็หันไปมองเขา: “ฉันขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ รบกวนคุณช่วยดูเป้ยเปยให้ด้วยค่ะ”
พอพูดจบฉันก็ไม่สนว่าเขาจะตอบกลับหรือไม่ แล้วเดินออกไป
ฉันวักน้ำเย็นขึ้นมาล้างหน้า ทำให้ใจเย็นลง
คำถามของลู่จือสิงเมื่อครู่นี้เกือบทำฉันน็อคเอาท์ เวลาห่างกันสองปีแล้วแต่ฉันก็ยังสูญเสียการควบคุมง่ายๆ ต่อหน้าเขาอยู่อีก
ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ เขาค่อยๆ คุกคามเข้ามาทีละก้าวๆ แบบนี้ ฉันจะยังยืนหยัดไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันไม่รู้ยิ่งกว่านั้นก็คือ สิ่งที่เขาต้องการในครั้งนี้ มันคืออะไรอีก?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้