เมื่อครู่ฉันไม่คิดว่าเขาสังเกตเห็น ไม่คิดเลยว่าเขาดูการกระทำของฉันทั้งหมดอย่างเงียบๆ เมื่อฉันเข้ามา ก็เหมือนติดกับเขา
ใบหน้าของฉันร้อนผ่าว แต่ฉันรู้ว่าตอนนี้ฉันยังยอมรับไม่ได้ จึงทำได้แค่ยืนกรานปฎิเสธ คุณคิดมากไปแล้ว ฉันแค่เห็นว่าคุณสวมเสื้อผ้าน้อย ไข้เพิ่งลดเกรงว่าจะกลับมาเป็นอีก
พูดจบ ฉันก็ดึงมือกลับ:“คุณออกไป”
ลู่จือสิงมองฉันสักพัก อาจเป็นเพราะฉันดูพูดจริงจังเกินไป เขาปล่อยมือและพูดด้วยน้ำเสียงหงุดงหงิด:“ อ่อ”
เมื่อเห็นเขาหันกลับไป ใจของฉันก็เต้นและอยากจะพูดกับเขา แต่ฉันก็เม้มริมฝีปากกลั้นไว้ และเดินไปนั่งบนโซฟา
ลู่จือสิงนั่งอยู่ตรงข้าม พลางมองไปกระติกและถามว่า:“โจ๊กอะไร”
ฉันไม่ใส่ใจมากนัก:“คุณกินเข้าไปก็รู้เอง”
เขาไม่พูดอะไร ฉันก็หันหลังไปดูเป้ยเปย
เป้ยเปยยังหลับอยู่ เธอไม่อยากมองลู่จือสิง จึงมองเฟอร์นิเจอร์รอบๆห้อง
ลู่จือสิงน่าจะเข้ามาอยู่เลย โดยสไตล์แตกต่างจากบ้านเดิมอย่างเห็นได้ชัด การตกแต่งห้องนี้เอนไปทางผู้หญิง วอลเปเปอร์เป็นสีขียวสด โต๊ะเป็นสีขาวสไตล์ยุโรปและโซฟาสีก็เอนไปทางสีสด
เมื่อคิดว่าผู้ชายคนหนึ่งต้องมาอาศัยอยู่ในห้องแบบนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“คุณหัวเราะอะไร ?”
เดิมทีคิดว่าลู่จือสิงกำลังกินโจ๊ก ไม่มีเวลาสนใจฉัน แต่ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามอง
ฉันรีบหุบยิ้มพร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีอะไร”
โชคดีที่เป้ยเปยที่อยู่ในรถเข็นร้องขึ้นมา ฉันจึงรีบวิ่งไปอุ้มเป้ยเปย
ลู่จือสิงยกโจ๊กดื่มสองทีก็หมด ยกขาขึ้นมาจะนั่งข้างๆฉัน แต่ทันใดนั้นฉันก็นั่งลงที่โซฟาเดี่ยว
ฉันเลิกคิ้วแสร้งทำเป็นไม่เห็น “คุณอิ่มรึยัง เป้ยเปยตื่นแล้ว ฉันจะพาเป้ยเปยกลับบ้าน”
“ซูยุ่น คุณกับเป้ยเปยอยู่เป็นเพื่อนผมอีกสักพักได้ไหม ? ”
ฉันกำลังลุกขึ้น เขาก็เอามือมาดึงชายเสื้อฉันไว้
ฉันหันกลับไปมองชายร่างสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้ามองฉัน ด้วยท่าทีที่น่าสงสาร
แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่าไม่ควรใจอ่อน เพราะถ้าใจอ่อนแล้วมันจะไม่ดีกับทั้งฉันและเขา
ฉันกัดฟันพูด:ถ้าประธานลู่รู้สึกเบื่อ ก็ให้คุณเฉินมาอยู่เป็นเพื่อน เพราะฉันจะไม่อยู่กับคุณ
เมื่อพูดอย่างนั้น ฉันก็เดินอุ้มเป้ยเปยไปวางที่รถเข็นเด็ก และเก็บกระติกที่อยู่บนโต๊ะ “คุณกินโจ๊กแล้วก็กินยานอนพักผ่อนเถอะ ฉันกลับละ ”
ลู่จือสิงมองที่ฉันและอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ฉันเข็นเป้ยเปยกลับบ้าน แต่ก็รู้สึกหดหู่อารมณ์เล็กน้อย
ฉันรู้ว่านี่เป็นเพราะลู่จือสิง ฉันรู้ตัวดีว่าไม่ควรไปยุ่งกับเขา แต่ก็อดใจไม่ได้
นับตั้งแต่เจอลู่จือสิง ฉันก็รู้สึกไม่เป็นตัวมากขึ้น
เมื่อตอนถันฮ่าวอวี่โกง ฉันบอกว่าจะวางมือ แต่ไหนมาวันนี้ต้องเผชิญความเจ็บปวดของลู่จือสิง
ไม่อยากคิดเรื่องนี้แล้ว ฉันเล่นกับเป้ยเปยสักพัก และเมื่อเป้ยเปยหลับ ฉันก็บังคับให้ตัวเองนอน
อาจเป็นเพราะเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ถึงแม้ในใจจะมีเรื่องให้คิดเยอะ แต่ฉันก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็ว
ฉันนอนหลับลึก แต่ก็ตื่นขึ้นด้วยเสียงร้องของเป้ยเปย
เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป้ยเปยอึ ฉันรีบไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เป้ยเปย จากนั้นก็ไปชงนม เอาขวดนมใส่ในมือให้เขาดูด และเสียงร้องก็เงียบลง
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม มันทำให้มีความสุขจริงๆ
จู่ๆโทรศัพท์ที่อยู่ข้างเตียงก็ดังขึ้น เป็นเสียงข้อความ ฉันเหลือบมองและเห็นข้อความของหลี่จื้อที่ตอบกลับมาในตอนเช้า
เมื่อวานฉันถามเขาไปว่าบาดแผลถูกแทงของลู่จือสิงเกิดขึ้นได้ยังไง เขาเพิ่งตอบกลับมาประมาณเจ็ดโมงเช้านี้
เขาเงยหน้ามองฉัน:“ ฉันขอนั่งสักพัก”
ฉันไม่ได้พูดอะไร หั่นผลไม้และยกออกมา “บาดแผลที่แขนของคุณเฉินฮวนเหยียนเป็นคนทำ ?”
ลู่จือสิงชะงักมือที่กำลังจะจับแอปเปิ้ล และเงยหน้ามองฉัน:“ หลี่จื้อบอกคุณเหรอ ?”
“เมื่อคืนคุณไม่บอกฉัน ฉันเลยไปถามหลี่จื้อ แต่เขาก็เพียงแค่บอกว่าแผลนั่นเฉินฮวนเหยียนเป็นคนทำ แต่ไม่ได้บอกว่าทำยังไง”
เขาวางไม้จิ้มฟันและเอนตัวพิงโซฟา แสดงหน้าของเขาแสดงความสับสนเล็กน้อย
ฉันไม่พูดอะไรพลางกัดแอปเปิ้ล
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มองมาที่ฉันอีกครั้งและพูดว่า “ซูยุ่น ความสัมพันธ์ของผมกับเฉินฮวนเหยียนไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
เขาพูดประโยคนี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยพูดให้ชัดเจนเลย
“ถ้าอย่างนั้นระหว่างพวกคุณมันเป็นยังไง ?”
เขาเม้มริมฝีปาก โดยมีท่าทีลังเล
ฉันยิ้มด้วยความเย็นชา:“ ที่จริงพวกคุณจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ขอเพียงแค่พวกคุณไม่มายุ่งกับฉันก็พอ”
“ซุยุ่น——”
ฉันไม่อยากได้ยินสิ่งที่เขาพูดอีกต่อไป จึงยืนขึ้นและพูดว่า: “คุณควรกลับไปได้แล้ว”
เขาเงยหน้ามองฉัน และฉันก็จองมองเขาอย่างไม่วางตา
จากนั้นไม่นาน ในที่สุดเขาก็ยอม:“ตกลง”
เมื่อเดินออกจากประตูไป ลู่จือสิงหันกลับมามองฉัน:“ซูยุ่น สักวันผมจะบอกทุกอย่างกับคุณเอง”
ฉันใจสั่น แต่ก็ยังคงทำสีหน้าเย็นชา:“ไม่จำเป็น ไม่ต้องมีวันนั้นหรอก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้