เขามีแรงเยอะ ฉันถูกเขาดึงจับยัดเข้าไปในรถ
“ลู่จือสิง !”
เมื่อฉันพูดจบ เขาก็ปิดประตูรถใส่ฉัน ด้วยท่าทางชัดเจน
แน่นอน เขารีบไปอีกด้านของรถ:“ผมไปส่ง”
เขาพูดจบ ก็สตาร์ทรถและขับออกไป
ฉันก็เบื่อที่จะเถียงกับเขาต่อไปแล้ว ถ้ายังเถียงกันแบบนี้ต่อไป ฉันจะต้องไปทำงานสายแน่ๆ
ถึงแม้ว่าฉันไม่อยากนั่งรถของลู่จือสิงไปทำงาน แต่ก็ต้องยอมรับว่า มีคนไปส่งทำงาน ทำให้ไม่ยุ่งยากจริงๆ
เดิมทีฉันสอบใบขับขี่แล้ว แต่หลังจากผ่านไปหลายปีก็ไม่มีโอกาสได้ขับรถเลย การจราจรในเมือง D นั้นแย่มาก ดังนั้นฉันจึงไม่กล้าขับรถ
อันที่จริงฉันอาศัยอยู่ไม่ไกลจากบริษัท รถโดยสารประจำทางก็อยู่ห่างออกไปแค่สองป้าย ปกติจราจรติดขัด จากใช้เวลาแค่สิบนาที จะต้องใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีกว่าจะถึง
ตอนนี้ประหยัดเวลารอรถประจำทางไป ฉันถึงหน้าบริษัทใช้เวลาแค่สี่สิบนาที เร็วกว่าปกติไปสิบนาที
“ฉันถึงแล้ว”
หลังจากปลดเข็มขัดนิรภัย ฉันก็เปิดประตู แต่ก็ถูกเขาดึงไว้:“คุณไม่ต้องทำงานล่วงเวลาตอนเย็นใช่ไหม ?”
ทันใดนั้นเสียงกริ่งเตือนก็ดัง:“คุณจะทำอะไร ?”
เขาดูทำอะไรไม่ถูก:“ฉันแค่อยากกินข้าวกับคุณ”
ฉันปฎิเสธโดยไม่คิดเลยว่า:“ถึงแม้ฉันจะไม่ทำงานล่วงเวลาฉันก็ไม่มีเวลากินข้าวกับคุณ ฉันต้องกลับไปดูแลเป้ยเปย”
“ผมก็ไม่ได้บอกคุณว่าจะไปกินข้าวข้างนอก !”
เขายักไหล่ ราวกับว่าฉันคิดมากไป
ฉันมองเขาอย่างโกรธๆ เปิดประตูลงจากรถและเดินเข้าบริษัทไป
เมื่อเดินไปถึงบันได ฉันก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเขา แต่ไม่รู้ว่าเขาลงจากรถเมื่อไหร่ เขาเอนตัวพิงหน้ารถและโบกมือให้ฉัน
มุมปากของฉันกระตุก และกำลังจะเรียกให้เขากลับไป แต่มีตำรวจจราจรคนหนึ่งเดินมาข้างหลัง และตบไปที่ไหล่ของเขา
ฉันไม่ต้องคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น บริษัทพวกเราถึงแม้ว่าจะอยู่ริมถนน แต่ก็ไม่สามารถจะจอดรถได้ตามใจ
สมควรแล้ว !
“ซูยุ่น ทำไมวันนี้คุณมาเช้าจัง ?”
ปกติฉันใช้เวลาห้าสิบห้านาทีกว่าจะถึงออฟฟิต วันนี้ยังไม่ถึงห้าสิบนาทีก็ถึงแล้ว ซึ่งเร็วจริงๆ
ในขณะที่ฉันเปิดคอมพิวเตอร์ไปด้วยก็ตอบหลี่เจียนีไปด้วยว่า:“วันนี้ตื่นเช้า”
เธอพยักหน้า และก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
ฉันรู้สึกโล่งใจจริงๆ ฉันกังวลว่าเธอจะถามอะไรอีก บางครั้งความสามารถในการพูดนินทาของหลี่เจียนี ฉันฟังยังรู้สึกกลัว
ฉันไม่มีโครงการใหม่ในมือ ช่วงนี้ฉันเลยไม่ค่อยยุ่ง แค่คอยดูแลโครงการที่ได้รับผิดชอบอยู่ก็โอเคแล้ว ตราบใดที่ส่วนสำคัญไม่เกิดปัญหา ดังนั้นไม่กี่วันนี้ฉันจึงค่อนข้างว่าง
เมื่อมีเวลาว่าง ก็จะคิดอะไรได้ง่ายขึ้น
ฉันยกมือขึ้นมาเท้าคาง และดูตารางโครงงาน แค่ความคิดของฉันกลับล่องลอยไปสิ่งที่ลู่จือสิงพูดเมื่อคืน
“ซูยุ่น พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่เถอะ”‘
“ซูยุ่น ผมรู้ว่าคุณกลัวผม แต่ผมจะทำให้คุณกลับมาเชื่อใจผมเหมือนเมื่อก่อน”
“ซูยุ่น คุณกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหลิน ฉันถึงรู้ตัวว่าตัวเองคิดฟุ้งซ่านอยู่
มองไปที่เสี่ยวหลิน ฉันขมวดคิ้วด้วยความเขิน:“มีอะไรรึเปล่า ?”
“มีพัสดุของคุณ”
“ห๊ะ ? พัสดุอะไร ?”
“ต้องให้คุณเซ็นรับเอง”
มุมปากของฉันกระตุก เพื่อไม่ให้แสดงออกฉันจึงอดทนและหันกลับไปว่า:“ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม ?”
“ลูกค้าขอให้ฉันมาถามคุณซูว่าตอนกลางวันว่างไหม จะเป็นไปได้ไหมที่จะทานอาหารกลางวันด้วยกัน ? ”
ลูกค้าบ้านี่ !
ฉันโกรธจนเจ็บใจไปหมด แต่ที่บริษัท ฉันไม่สามารถทำอะไรผลีผลามได้ แค่อยากจะรีบส่งลู่จือสิงไปไวๆ:“คุณบอกเขาว่าฉันว่างใช่ไหม ? ไม่เป็นไร ฉันจะกลับไปทำงานละ ฉันยุ่งมาก !”
คำพูดสี่คำสุดท้าย ฉันแทบจะกัดฟันพูดออกมา
ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวหลินดูอยู่ ฉันอย่างจะผลักลู่จือสิงออกไปด้วยตัวเอง
เขากระพริบตามองที่ฉัน:“ผมรู้แล้ว ถ้างั้นไม่รบกวนการทำงานของคุณซูแล้ว”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ในที่สุดฉันก็ถอนหายใจโล่งอก และกอดดอกไม้เดินกลับเข้าไปในบริษัท
“เฮ้ พี่ชายพัสดุ คุณรอก่อน ! ”
เมื่อได้ยินเสียงของเสี่ยวหลิน ฉันก็เดินเท้าพันกันไปหมด ไม่ระวังจนเกือบจะล้มเหมือนหมามุดโคลน
ก่อนที่จะเข้าไปในบริษัทฉันก็หันหลับไปมองพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ใครไปจะรู้ว่าทันใดนั้นลู่จือสิงก็เงยหน้าขึ้นมา
ตัวของฉันแข็งทื่อไปหมด และรีบก้าวเท้าเข้าไปในบริษัท
“ซูยุ่น คุณ——พระเจ้า !ใครส่งดอกกุหลาบช่อใหญ่ขนาดนี้มาให้คุณ !”
ทันทีที่ฉันกลับเข้าบริษัท ก็ได้ยินเสียงของหลี่เจียนี
ฉันรู้ว่าเรื่องจะต้องเป็นแบบนี้ จึงบอกเธอไปแบบเรียบๆว่า:“เพื่อนสนิทฉันเป็นคนส่งให้ฉัน”
หลี่เจียนีงอปากเธอขึ้นมา:“คุณแต่งเรื่องหลอกคุณเถอะ”มีน้องสาวที่ไหนส่งดอกกุหลาบเก้าสิบเก้าดอกมาให้ ? นิรันดรคุณเข้าใจไหม ?
ฉันไม่เข้าใจ และไม่อยากเข้าใจด้วย ฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว
คนที่ไม่ค่อยมีความสำคัญอย่างฉัน ถูกลู่จือสิงทำให้เป็นจุดสนใจในบริษัทแล้ว
หลี่เจียนีไม่เชื่อ เธอนั่งที่โต๊ะทำงานฉันและก้มมากระซิบที่ข้างหูว่า:“ซูยุ่น คุณบอกฉันมา ใช่ประธานฉีส่งมารึเปล่า ? คุณบอกฉันเถอะ ฉันจะไม่บอกใคร !”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้