หรือว่าเป็นฉันเองที่เจ้าเล่ห์เกินไป คิดมากเกินไป ?
ป้าฝานพูดว่า ลู่จือสิงชอบฉัน ฉันยังสนใจเขา ระหว่างเรายังมีเป้ยเปยอีกคน ฉันไม่ควรจะโยนทิ้งไปแบบนี้
หรือว่าฉันกำลังจะโยนทิ้งไปจริงๆเหรอ ?
ฉันพบว่าตอนนี้ความรู้สึกของฉัน ไม่รู้ว่าควรจะจัดการยังไงดีแล้ว
เมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ เมื่อพบว่าถันฮ่าวอวี่นอกใจ ฉันก็เลิกโดยไม่พูดอะไร
แต่ตอนนี้เผชิญกับลู่จือสิง ฉันพบว่าสติและความเรียบร้อยของฉันได้หายไปหมด
อารมณ์เสียจริงๆ
“ซูยุ่น ?”
เมื่อได้ยินฉีซิ่วหรานเรียกฉัน สติของฉันก้กลับมา
เมื่อรู้ว่าสติไม่อยู่กับตัวเอง ฉันก็รู้สึกอายเล็กน้อย:“มีอะไรรึเปล่า ? ฉันกำลังคิดเรื่องที่บริษัทอยู่”
พูดแบบนี้ ทำให้ใจฉันรู้สึกผิดเล็กน้อย
ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องที่บริษัท ฉันกำลังคิดเรื่องที่ป้าฝานพูดกับฉันวันนี้ ยังมีลู่จือสิงอีก
“กำหนดการที่ผมจะไปเมือง S ได้ยืนยันแล้ว”
คำพูดของเขาเรียกสติของฉันกลับมา ฉันอ้าปากเตรียมจะพูดอะไร แต่ก็พบว่าพูดอะไรก็คงไม่ดีเท่าไหร่
หัวข้อสนทนานี้ค่อนข้างหนัก พวกเรารู้จักกันมาสามปี ความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านคนนี้ดีกว่าเพื่อนอีก เขาจะไปแบบกะทันหัน มันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับฉันที่จะผ่านช่วงเวลานี้
แต่ฉีซิ่วหรานเคยบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อเดือนก่อน ฉันในตอนนี้ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไร
ในใจของฉันเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนนี้ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็สงบลงอย่างรวดเร็ว:“วันไหน ?”
“เดือนหน้าวันที่แปด”
ฉันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว:“ทำไมเร็วจัง ?”
วันนี้เป็นวันที่27แล้ว เดือนนี้ก็มีไม่ถึง31วัน ยังเหลือเวลาอีกสิบวัน
“ที่นั่นมีปัญหานิดหน่อย ผมเลยต้องไปก่อนเวลา”
ฉันพยักหน้า:“งั้นคุณ——”
ฉันอยากถามว่าเขายังจะกลับมาอีกไหม แต่ฉันก็ไม่สามารถถามออกไปได้
ไม่รู้ทำไม จู่ๆฉันก็นึกถึงคำพูดที่ลู่จือสิงพูดกับฉันเมื่อเช้านี้
คุณต้องการเวลาเพื่อคิดว่าจะเลือกใครใช่ไหม ?
ทันใดนั้น จู่ๆฉันก็คิดได้ว่า การพึ่งพาฉีซิ่วหรานของฉันนั้นมันมากเกินไปแล้ว
เมื่อคิดเช่นนี้ จริงๆแล้วฉีซิ่วหรานจากไปก็ดี
ฉันไม่ได้รักเขา แต่ก็ยังพึ่งพาเขา แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา โชคดีที่ฉันค้นพบแล้ว
“ตกลง ถ้ามีเวลาว่าง ฉันจะพาเป้ยเปยไปเยี่ยมคุณ”
เขาฝืนยิ้มออกมา:“ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะกลับมา”
หัวข้อการสนทนาเรื่องลาจากกันนี้ค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะลาจากกันพรุ่งนี แต่มื้ออาหารนี้ ก็เหมือนงานเลี้ยงจากลา
ฉันกับเขาไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองคนนั่งก้มหน้ากินข้าว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่ฉีซิ่วหรานจะเอ่ยปากเรียกฉัน:“ซูยุ่น”
“ห๊ะ?”
ฉันเงยหน้ามองเขา
“คุณกับลู่จือสิง จะเป็นยังไงต่อไป ?”
ฉันไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามนี้กับฉัน ใช้เวลาสักพัก ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี แต่ว่าฉันก็ไม่อยากปิดบังเขา จึงพูดออกไปว่า:“จริงๆแล้วฉันก็ยังไม่รู้”
ตอนที่ฉีซิ่วหรานจะจากไปเขากอดฉัน และบอกฉันว่า ทำตามหัวใจของตัวเองก็พอแล้ว
ทำตามหัวใจของตัวเองก็พอแล้ว
ช่วงเวลานี้ เพราะคำพูดของฉีซิ่วหราน ฉันก็เปิดกว้างขึ้นมาก
หลังจากเขาจากไปครึ่งเดือน จู่ๆฉันก็ได้รับโทรศัพท์กลางดึก
ตอนนั้นฉันกำลังงัวเงีย ยกมือขึ้นกดรับ แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรแกมา ฉันคิดว่าโทรผิด จึงวางสายไป
ตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฉันนึกถึงเรื่องนี้ ก็รีบหยิบโทรศัพท์ของฉันออกมาดูเบอร์
ไม่ดูยังจะดีกว่า เมื่อมองก็พบว่ามันคือเบอร์โทรศัพท์ของลู่จือสิง
ฉันไม่ได้บันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาลงสมุดรายชื่อ แต่ตัวเลขของเขานั้นยังเหมือนเดิม ผ่านไปหลายปีแล้วก็ยังเป็นอันนั้น ฉันจะไปลืมมันได้ยังไง
โทรสั้นมาก แค่เวลาไม่กี่วินาที
เมื่อฉันเห็นบันทึกการโทรก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ จึงรีบเปิดหาในอินเตอร์เน็ต
เมื่อค้นหาลู่จือสิง ก็มีข่าวมากมายเกี่ยวกับเขา
แต่ข่าวล่าสุดคือข่าวการเสียชีวิตของลู่เว่ยกั๋ว เมื่อฉันเห็นข่าวนี้ ฉันก็ตกตะลึง
ไม่ทันรู้ตัวฉันก็โทรศัพท์หาลู่จือสิงแล้ว แต่เบอร์ของเขาก็ยังคงปิดสายอยู่ ไม่ว่ายังไงฉันก็โทรไม่ติด
ฉันรู้ว่าลู่จือสิงไม่ชอบลู่เว่ยกั๋ว แต่ก็ยังเป็นพ่อของอยู่ !
ตอนนี้ลู่เว่ยกั๋วเสียชีวิตแล้ว ฉันกลัวว่าเขาจะคิดเรื่องนี้ไม่ออก
ฉันคิดไปคิดมา และรีบจองตัวไปเมือง A ทันที
ฉีซิ่วหรานพูดแล้วว่า ให้ทำตามหัวใจตัวเองก็พอ
ในเวลานี้ ฉันอยากจะอยู่เคียงข้างเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: หากได้พบเจออีก ฉันอาจจะลืมเธอได้